นายสังวรณ์ พุ่มเทียน ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บมจ. กสท โทรคมนาคม (CAT) กล่าวว่า เมื่อวานนี้ ( 27 ก.พ.)ตนพร้อมทนายความและตัวแทนพนักงาน กสท โทรคมนาคม ได้เดินทางไปยังศาลปกครองกลาง เพื่อยื่นคำฟ้องในฐานะสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ กสท โทรคมนาคม ต่อกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) คดีดำ ที่ 571/2561 เพื่อให้มีคำสั่ง 2 เรื่อง คือ 1. ยกเลิกหรือเพิกถอนการจัดตั้ง บริษัท โครงข่ายระหว่างประเทศและศูนย์ข้อมูลอินเทอร์เน็ต (NGDC Co.) และ บริษัท โครงข่ายบรอดแบนด์แห่งชาติ จำกัด (NBN Co.) 2.ระงับหรือยกเลิกการแยกหรือโอนทรัพยากรที่มีค่าของรัฐวิสาหกิจ กสท โทรคมนาคม ไปให้บริษัทลูก NGDC Co. และมีคำสั่งระงับหรือยกเลิกการแยกหรือโอนทรัพยากรที่มีค่าของรัฐวิสาหกิจ บมจ. ทีโอที (TOT) ไปให้บริษัทลูก NBN Co.
ตลอดระยะเวลากว่า 2 ปี ที่ผ่านมา สหภาพฯ ต่อสู้ และคัดค้านเรื่องดังกล่าวมาโดยตลอด มีความพยายามในการทำหนังสือถึงหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องมาแล้วมากกว่า 20 ฉบับ ทั้ง กระทรวงดีอี ผู้บริหาร กสท โทรคมนาคม คณะกรรมการบริษัท สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ตลอดจนนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่หนังสือที่ตอบกลับมามีเพียงหนังสือจากฝ่ายบริหารที่ตอบมาแบบไม่ตรงคำถามเพียง 4 ฉบับเท่านั้น
ล่าสุดสหภาพฯยังให้เส้นตายกับกระทรวงดีอีในการตอบความชัดเจนดังกล่าวเมื่อวันที่ 17 ต.ค.60 ที่ผ่านมา โดยให้เวลาตอบหนังสือกลับมาภายใน 15 วัน แต่เรื่องก็เงียบเหมือนเคย ทำให้ฟางเส้นสุดท้ายของเราขาด และไม่รู้จะพึ่งใครนอกจากศาล และมั่นใจว่าศาลจะเป็นที่พึ่งได้ ภายใน 15 วันนี้จะได้รู้คำตอบว่าศาลจะมีความเห็นอย่างไร ซึ่งตนเองก็หวังว่าจะให้มีการยกเลิกหรือคุ้มครองชั่วคราวไปก่อน
"หนังสือคัดค้านและสอบถามข้อเท็จจริงหลายฉบับที่เราทำ มติ ครม.เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. 2560 ก็ให้กระทรวงดีอีเร่งประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับพนักงานและสหภาพฯ แต่ก็ไมได้รับการชี้แจงหรือคำตอบแต่อย่างใด การแยกทรัพย์สิน มันขัดต่อนโยบาย ไม่ใช่การเพิ่มประสิทธิภาพ แต่ทำให้ทั้ง 4 บริษัท คือ บริษัทแม่และบริษัทลูกอ่อนแอ รัฐจะขาดเครื่องมือดำเนินธุรกิจแทนรัฐ เพื่อประโยชน์ของสาธารณะและในพื้นที่ห่างไกล ไม่มีการถ่วงดุลราคา เอกชนจะผูกขาดในกิจการโทรคมนาคม ผู้ใช้บริการ หรือประชาชนจะถูกเอาเปรียบ"นายสังวรณ์ กล่าว
ทั้งนี้ตนเองในฐานะตัวแทนสหภาพฯมีความมั่นใจว่าสามารถมีสิทธิ์ในการเป็นโจทย์ยื่นฟ้องต่อกระทรวงดีอีได้ ตามพ.ร.บ. แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ 2543 มาตรา 40 (4) ที่ระบุว่า "สหภาพฯสามารถดำเนินการและให้ความร่วมมือเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ และรักษาผลประโยชน์ของรัฐวิสาหกิจ" เพราะไม่เพียงแต่พนักงานจะเสียประโยชน์เท่านั้น องค์กร และประชาชน รวมถึงประเทศชาติ ก็จะเสียประโยชน์ในการตั้ง 2 บริษัทลูก
เนื่องจากการต้องโอนทรัพย์สินไปให้บริษัทลูกโดยที่บริษัทแม่ต้องมีค่าใช้จ่ายในการเช่าเพื่อใช้งานโครงข่ายของบริษัทลูก เท่ากับว่า นอกจากจะทิ้งหนี้สินที่บริษัทแม่ต้องรับผิดชอบแล้ว บริษัทแม่ยังไม่มีรายได้จากการให้บริการโครงข่าย แถมยังต้องมีค่าใช้จ่ายในการเช่าทรัพย์สินที่เคยเป็นของตนเองอีกด้วย และหากคู่สัญญาที่เช่าอุปกรณ์ของบริษัทแม่เกิดปัญหา ต้องให้บริการเพื่อความสะดวกแก่ประชาชน บริษัทแม่จะไม่สามารถบริหารจัดการได้ เพราะทรัพย์สินได้ถูกแยกไปอยู่ที่บริษัทลูกหมดแล้ว สุดท้ายประชาชนก็เดือดร้อน ที่สำคัญโครงข่ายด้านโทรคมนาคมของประเทศควรเป็นของรัฐเพื่อสร้างความมั่นคงให้ประเทศ แต่กลับตกไปอยู่ในมือของเอกชน อย่างนี้แล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเอกชนจะช่วยรัฐในการสร้างความมั่นคงให้ประเทศ
นายสังวรณ์ กล่าวว่า การดำเนินการแยกทรัพย์สินที่เป็นโครงข่ายหลักและบริการไปยังบริษัทลูกยังไม่มีความชัดเจนจากแผนปรับเปลี่ยนธุรกิจและแผนคุ้มครองผู้ใช้บริการที่อยู่ระหว่างบริษัทที่ปรึกษาพิจารณาดำเนินการ และที่ต้องจัดทำแผนดำเนินการที่สมบูรณ์ เพื่อให้สะท้อนมูลค่าทรัพย์สินประมาณการณ์รายได้ ค่าใช้จ่าย และผลตอบแทนทางการเงินที่แท้จริง เหล่านี้ ยังไม่เห็น แผนถ่ายโอนทรัพย์สิน แผนการโอนย้ายพนักงาน และแนวทางในการกำกับดูแลการดำเนินการ รวมถึงแผนเพิ่มประสิทธิภาพของบริษัทแม่ ก็ไม่ปรากฎ จึงเป็นการดำเนินการที่ขัดแย้งกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 2550 เรื่องหลักเณฑ์การจัดตั้ง/ร่วมทุนและกำกับดูแลบริษัทในเครือของรัฐวิสาหกิจ กล่าวคือ บริษัทในเครือต้องไม่ดำเนินกิจการที่เป็นภารกิจหลักของรัฐวิสาหกิจแม่ และต้องพิจารณาผลกระทบและประโยชน์ที่บริษัทแม่จะได้รับก่อนจึงจะขออนุมัติความเห็นจาก ครม.ต่อไป
ดังนั้นการจัดตั้งบริษัทลูกที่เห็นชอบในหลักการซึ่งได้รับการยกเว้นเหมือนที่บริษัทแม่ได้รับเมื่อตอนแปลงสภาพเป็นบริษัทจำกัดตาม พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 ดังนั้นหากจะมีการโอนทรัพย์สินออกจาก บริษัทแม่ จะต้องดำเนินการตามกฎหมายก่อน เพื่อประโยชน์ต่อประเทศชาติและรัฐวิสาหกิจ ต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ซึ่งเป็นขั้นตอนหนึ่งที่กำหนดไว้ในมาตรา 19 (9) โดยให้ความสำคัญกับผู้มีส่วนได้เสียโดยตรง เป็นอันดับแรก และต้องมีการกำหนดกิจการ สิทธิ์ หนี้ ความรับผิดชอบและสินทรัพย์ที่จะโอนไป ให้มีขั้นตอนความชัดเจน โปร่งใส และปฎิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายก่อน
เห็นได้ชัดเจนว่ารัฐมนตรีกระทรวงดีอี ไม่ได้นำหลักเกณ์ คำสั่ง กฎ ระเบียบ และมติ ครม.ที่เกี่ยวข้องมาปฏิบัติเลย รวมถึงคำแถลงนโยบายของครม.ข้อ 6.14 ที่ระบุว่า "พัฒนาและปรับปรุงระบบบริหารจัดการของรัฐวิสาหกิจให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตรวจสอบได้ พร้อมทั้งกำหนดเป้าหมายและมาตรการที่จะแก้ไขปัญหาและฟื้นฟูกิจการรัฐวิสาหกิจเพื่อให้รัฐวิสาหกิจเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพของรัฐในการพัฒนาประเทศ และพัฒนากลไกการกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจที่เข้มแข็ง เพื่อให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศส่วนรวม คุ้มครองผู้ใช้บริการอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถให้บริการแก่ประชาชนได้ตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ " ด้วย
ส่วนทางด้านสหภาพแรงงานฯทีโอที กำลังอยู่ระหว่างการศึกษาและดูท่าทีของสหภาพฯกสท โทรคมนาคม ก่อน ว่าศาลจะมีความเห็นอย่างไร จากนั้นจึงค่อยพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากฝ่ายบริหารของสหภาพฯทีโอทีแบ่งเป็นสองฝ่ายทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เนื่องจากเกรงว่าจะเสียผลประโยชน์กับฝ่ายบริการทีโอที แต่ทั้งนี้ก็ได้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ทั้งหมดให้กับสหภาพฯกสท โทรคมนาคม ในการเป็นโจทย์ยื่นฟ้องกระทรวงดีอีต่อศาลในครั้งนี้