นายต่อ อินทวิวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย)กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 2/54 ยังมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาส 1/54 เพราะจากสถิติในช่วงที่ผ่านมา ช่วงก่อนการเลือกตั้งตลาดหุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 8% เนื่องจากจะเป็นช่วงที่มีการกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชน ซึ่งส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจ
แต่หลังเลือกตั้งดัชนีมีทิศทางทั้งขึ้นและลงแล้วผลการเลือกตั้งที่ออกมา อย่างไรก็ตาม ทิศทางการดำเนินงานของรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารงานต่อจากรัฐบาลชุดนี้นั้น มองจากนโยบายของแต่พรรคการเมืองที่เริ่มประกาศออกมาก็เป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือเน้นการเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน จึงไม่ได้มีความน่ากังวล
ดังนั้น ช่วงหลังการเลือกตั้งผ่านไปแล้ว คงต้องติดตามสถานการณ์ตลาดต่างประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐจะมีการต่อเนื่องจากมาตรการ QE2 หรือไม่ ส่วนในประเทศต้องติดตามปัญหาภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งมองว่าเงินเฟ้อที่เกิดจากราคาอาหารสูงขึ้นน่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย เนื่องจากไทยมีการส่งออกอาหารเป็นหลัก ส่วนเงินเฟ้อที่เกิดจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น หากทะลุ 120 เหรียญ/บาร์เรล จะส่งผลกระทบมาก แต่มองว่าปัจจุบันรัฐบาลก็ดูแลปัญหาเป็นอย่างดี
ส่วนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 2.75% น่าจะมีการปรับขึ้นอีก 2-3 ครั้ง และสิ้นปี 54 น่าจะปรับขึ้นไปที่ 3.5% แต่ยังถือว่ายังเป็นระดับที่เหมาะสม เพราะอัตราดอกเบี้ยของไทยถือว่าต่ำสุดในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น จะพบแค่บาง sector เท่านั้น อย่างเช่นกลุ่มที่มีการกู้เงินมาก
"ช่วงครึ่งปีหลังขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งเรื่องแนวโน้มเงินเฟ้อ รวมทั้งมาตรการ QE ที่จะหมดอายุในเดือน มิ.ย.นี้ จะมีการต่ออายุหรือไม่ แต่ส่วนตัวคิดว่าคงไม่มี QE 3 แล้ว น่าจะเป็น QE 2.5 และต้องดูทิศทางของรัฐบาลชุดใหม่"นายต่อ กล่าว
นางสาวศิริธรรณ สุทาโรจน์ ผู้อำนวยการอาวุโส หัวหน้าฝ่ายจัดการากองทุนตราสารทุน กล่าวว่า ปัจจุบัน ตลาดหุ้นไทยอยู่ในช่วงการพักฐานไซด์เวย์ แต่มองว่าการพักฐานน่าจะอยู่ไม่นานนัก ดัชนีมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นไปถึง 1,200 จุดได้ภายในปีนี้ เพราะมองว่าไตรมาส 2/54 เม็ดเงินลงทุนจากประเทศพัฒนาแล้วจะไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นเกิดใหม่ ซึ่งสวนทางกับไตรมาสแรก