นายบุญชัย จิระพงษ์ตระกูล ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.เดอะ สตีล (THE) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าผลประกอบการปี 60 จะใกล้เคียงกับปีก่อนที่มีรายได้ 15,839.73 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 545.29 ล้านบาท โดยมองว่าอุตสาหกรรมเหล็กในปีนี้จะยังไม่ขยายตัวมากนัก คงต้องรอโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่เริ่มใช้เหล็กอย่างเต็มที่ในช่วงปลายปีและต่อเนื่องไปอีกหลายปี
ขณะเดียวกันหากมองตามโรดแมพการเลือกตั้งครั้งใหม่ที่รัฐบาลวางเป้าหมายไว้ในปี 61 หากเกิดขึ้นจริงจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศให้เดินหน้าลงทุนโครงการใหม่ๆ เพิ่มขึ้น โดยคาดว่าจะทำให้ความต้องการใช้เหล็กในประเทศจะเพิ่มขึ้นราว 20%
"ปีนี้ผลประกอบการของเราก็คงจะทรงๆ ตัวจากปีที่ผ่านมา โดยแนวโน้มช่วงครึ่งปีหลังจะดีกว่าช่วงครึ่งปีแรก แต่จะเห็นการเติบโตมากๆ ในปีหน้าตามความต้องการใช้เหล็กที่เพิ่มขึ้นจากโครงการโครงสร้างพื้นฐาน และการลงทุนใหม่ๆที่จะเกิดขึ้นอีก ผมมองว่าความต้องการใช้เหล็กในปี 61 จะเติบโตได้ราว 20% และด้วยราคาขายเหล็กในปัจจุบันถือว่าถึงจุดต่ำสุดแล้ว ต่อจากนี้คาดว่าราคาเหล็กจะปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า ซึ่งหากทิศทางราคาเหล็กเป็นแบบขาขึ้น ยังไงเราก็กำไรแน่นอน"นายบุญชัย กล่าว
สำหรับรายได้ของบริษัทแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ สัดส่วน 30% มาจากการผลิตเพื่อจำหน่ายภายใต้กำลังการผลิต 20,000 ตัน/เดือน และ อีก 70% มาจากธุรกิจซื้อมาขายไป โดยบริษัทมีพันธมิตรที่เป็นโรงงานผลิตเหล็กหลายราย ซึ่งบริษัทจะสั่งวัตถุดิบให้กับโรงงานเหล่านี้เพื่อผลิตให้กับบริษัทนำมาจำหน่ายย ทำให้บริษัทมีสินค้าค่อนข้างครบถ้วนทุกประเภท คือ เหล็กม้วนรีดร้อน, เหล็กม้วนสลิป, เหล็กแผ่น, เหล็กรูปพรรณประเภทขึ้นรูปร้อน และเหล็กรูปพรรณขึ้นรูปเย็น
"เรามีต้นทุนคงที่เพียง 30% คือส่วนของการผลิตสินค้าเพื่อขาย ในส่วนที่เหลือคือการซื้อมาขายไป ทำให้บริษัทฯเราไม่เหมือนกับบริษัทฯเหล็กอื่นๆในอุตสาหกรรมที่เป็นการผลิตเพื่อขายเป็นหลัก ทำให้เราสามารถปรับตัวเองให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆได้ คือจะซื้อหรือไม่ซื้อเมื่อไหร่ก็ได้ ซึ่งด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมากว่า 20 ปี เราก็มีการบริหารจัดการความเสี่ยงที่ดี"นายบุญชัย กล่าว
นายบุญชัย กล่าวอีกว่า ภาพรวมผลประกอบการของบริษัทมีทิศทางที่ดีขึ้น หลังจากช่วงไตรมาส 1/60 มีกำไรราว 82 ล้านบาท โดยล่าสุดรัฐบาลไทยกำลังเร่งผลักดันโครงการรถไฟความเร็วสูงร่วมกับจีน ช่วงกรุงเทพ-นครราชสีมา ซึ่งทางรัฐบาลได้ส่งหนังสือขอข้อมูลจากสมาคมเหล็กทั่วประเทศว่ามีเหล็กประเภทใดแบบใดที่โรงงานในประเทศสามารถผลิตป้อนให้ได้ ขณะเดียวกัน จีนก็มีนโยบายปรับลดกำลังผลิตเหล็กในประเทศลง หากเกิดขึ้นจริงเชื่อว่าจะเป็นส่วนผลักดันให้ราคาเหล็กปรับตัวขึ้นได้ในระยะต่อไป
"ที่ผ่านมาโรงงานผลิตเหล็กส่วนใหญ่จะประสบปัญหาขาดทุนจากความผันผวนของราคาเหล็กในตลาดโลก แต่ด้วยประสบการที่เรามีมากว่า 20-30 ปีในตลาดนี้ เรามีการปรับตัวได้ค่อนข้างดีทั้งในช่วงที่ราคาเหล็กปรับตัวขึ้น ทำให้เรามีผลประกอบการที่ดีมาต่อเนื่อง และในช่วงราคาเหล็กปรับตัวลง ซึ่งผมจะอธิบายว่าในช่วงเหล็กราคาลงจะค่อนข้างยากเพราะต้องบริหารการผลิตให้พอดีกับต้นทุนคงที่ของโรงงานเพื่อให้มีผลกำไรบ้าง หรือให้ขาดทุนน้อยที่สุด ขณะที่ช่วงราคาเหล็กขึ้นก็ง่ายมาก จะผลิตมากผลิตน้อยอย่างไรยังไงเราก็กำไร"นายบุญชัย กล่าว
นายบุญชัย กล่าวถึงแผนในอนาคตว่า ปัจจุบันบริษัทฯอยู่ระหว่างศึกษาเพื่อเข้าซื้อโรงงานผลิตเหล็ก 1 แห่ง มูลค่าราว 600-700 ล้านบาท โดยบริษัทมีแผนจะย้ายโรงงานเดิมไปอยู่ในพื้นที่ใหม่ทั้งหมดเพื่อให้สามารถบริหารจัดการต้นทุนได้ดีขึ้นและสามารถขยาบกำลังการผลิตได้ คาดว่าจะได้ข้อสรุปในช่วงไตรมาส 3/60 นี้
ทั้งนี้ หากได้ข้อสรุปในการเข้าซื้อโรงงานดังกล่าวบริษัทคงจะต้องใช้ระยะเวลาราว 3 ปีในการเตรียมการ โดยเงินลงทุนจะมาจากใบสำคัญแสดงสิทธิซื้อหุ้นสามัญ (THE-W2) ที่ออกไปทั้งหมด 550 ล้านหุ้น ราคาการใช้สิทธิ 3.50 บาท/หุ้น ซึ่งหากผู้ถือหน่วยใช้สิทธิครบจำนวนก็จะทำให้สามารถระดมทุนได้ทั้งหมดราว 1,925 ล้านบาท โดยปัจจุบันราคาใช้สิทธิเทียบกับราคาบนกระดานถือว่ามีส่วนต่างพอสมควร จึงเชื่อว่าจะมีผู้ถือหน่วยมาใช้สิทธิเป็นจำนวนมาก
"โรงงานเดิมที่ถนนเอกชัยแยกออกจากกันไประหว่างหลายโรงงาน หลายคลังจัดเก็บทำให้มีต้นทุนที่สูง ซึ่งตอนนี้เราอยู่ระหว่างศึกษาที่จะเข้าซื้อกิจการโรงเหล็กเพื่อที่จะเพิ่มกำลังการผลิต และย้ายโรงงานเดิมทั้งหมดไปอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว เพื่อที่จะช่วยให้ต้นทุนในทุกๆด้านดีขึ้น"นายบุญชัย กล่าว
นายบุญชัย กล่าวต่อว่า ล่าสุดบริษัทได้เข้าซื้อหุ้น บริษัท ไพร์ม สตีล มิลล์ จำกัด เพิ่มเป็น 50% จากเดิมที่มีอยู่ 20% และได้รับโอนหุ้นเรียบร้อยแล้วเมื่อ 31 ม.ค.60 หลังจากนี้บริษัทเตรียมจะขยายกำลังการผลิตเป็น 70,000 ตัน/เดือน จากเดิม 50,000 ตัน/เดือน โดยจะขยายโรงงานและพื้นที่เก็บสินค้า มูลค่าลงทุนราว 200 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจากับสถาบันทางการเงินเพื่อขอเปิดวงเงินกู้ยืม
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาการผลิตสินค้ามีมูลค่าเพิ่มให้มากขึ้น ซึ่งยังต้องใช้งบลงทุนอีกพอสมควร บริษัทจึงมีแผนที่จะนำบริษัท ไพร์ม สตีล มิลล์ จำกัด เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อระดมทุนมาใช้ในการลงทุนครั้งนี้ โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนในช่วงปลายปี 61