กรุงเทพฯ--22 มี.ค.--ตลท.
สายงานพัฒนาและวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์ฯ รายงาน SET Note Quarterly Corporate Update พบว่าปี 2553 บริษัทจดทะเบียน (ไม่นับรวมกองทุนอสังหาริมทรัพย์) มีผลการดำเนินงานดีขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ ประกอบกับมีผลกำไรจากเงินลงทุนทำให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นถึง 38.98% จากปี 2552 โดยข้อมูลด้านฐานะทางการเงินยังอยู่ในเกณฑ์มั่นคง ขณะที่การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรและการระดมทุนพิ่มขึ้นในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม สะท้อนการฟื้นตัวอย่างมีเสถียรภาพของภาคธุรกิจไทย และความพร้อมสำหรับการขยายตัวในอนาคต
ในปี 2553 บริษัทจดทะเบียน (ไม่นับรวมกองทุนอสังหาริมทรัพย์) มีผลการดำเนินงานดีขึ้น จากรายได้ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยมีรายได้การขายและบริการ 7,405,892.65 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.67% จากปี 2552 ขณะที่มีประสิทธิภาพในการควบคุมต้นทุนใกล้เคียงกับปี 2552 โดยมีสัดส่วนต้นทุนต่อรายได้ 91.04% เทียบกับ 90.84% ในปี 2552 ส่งผลให้มีกำไรจากการดำเนินงาน 663,819.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.16% จากปี 2552 ขณะที่รายได้อื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากผลกำไรจากเงินลงทุนและกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน มีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 29.57% จากปี 2552 เป็นปัจจัยสนับสนุนให้ในปี 2553 บริษัทจดทะเบียนมีกำไรสุทธิ 592,456.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38.98% จากปี 2552 และมีอัตรากำไรสุทธิ 7.50% เพิ่มขึ้นจาก 6.38% ในปี 2552
นอกจากนี้ พบว่า บริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่มีผลการดำเนินงานดีขึ้นและกระจายตัวมากขึ้น โดยมีบริษัทที่มีผลกำไรถึง 443 บริษัท คิดเป็นร้อยละ 82.65 ของจำนวนบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด เทียบกับ 76.68% ในปี 2552 และ 73.64% ในปี 2551
ด้านดัชนีชี้วัดประสิทธิภาพการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในปี 2553 ปรับดีขึ้นในทุกรายการเมื่อเทียบกับปี 2552 ซึ่งเป็นผลจากกำไรสุทธิที่ปรับเพิ่มขึ้น โดยในปี 2553 บริษัทจดทะเบียนมีอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) 15.48% เพิ่มขึ้นจาก 11.98% ในปี 2552 และมีอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวม (ROA) 7.18% เพิ่มขึ้นจาก 5.51% ในปี 2552 นอกจากนี้ ฐานะทางการเงินของบริษัทจดทะเบียนยังคงอยู่ในเกณฑ์มั่นคง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่ 1.16 เท่า ซึ่งอยู่ในระดับต่ำและเป็นระดับเดียวกับปี 2552 อีกทั้งมีระดับสภาพคล่องในการชำระหนี้สูงขึ้นแม้ว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ได้ปรับสูงขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2553
สำหรับการลงทุนของบริษัทจดทะเบียนในปี 2553 ส่วนใหญ่มีการลงทุนเพิ่มขึ้นในสินทรัพย์ถาวร โดยมีจำนวนบริษัทที่ลงทุนเพิ่มในสินทรัพย์ถาวรจำนวน 465 บริษัท หรือ 85.95% ของจำนวนบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด เพิ่มขึ้นจาก 80.48% ในปี 2552 คิดเป็นมูลค่าการลงทุนเพิ่มในสินทรัพย์ถาวรรวม 405,164.57 ล้านบาท ทั้งนี้ พบว่า ทุกกลุ่มอุตสาหกรรมมีการลงทุนเพิ่มในสินทรัพย์ถาวรเพิ่มขึ้น ยกเว้น กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง และกลุ่มบริษัทที่อยู่ระหว่างฟื้นฟูกิจการ (NPG)
ด้านการระดมทุนในรูปตราสารทุนในปี 2553 จากภาวะเศรษฐกิจและภาวะตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับดีขึ้น บริษัทจดทะเบียนมีการระดมทุนเพิ่มขึ้น ทั้งในตลาดแรกและตลาดรอง โดยมีมูลค่ารวม 90,355.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 156.82% จากปี 2552 โดยการระดมทุนในตลาดแรก (Initial public offering: IPO) มีบริษัทจดทะเบียนเข้าระดมทุนจำนวน 11 บริษัท และ 4 กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ มูลค่ารวม 12.587.56 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.63% จากปี 2552 ขณะที่การระดมทุนในตลาดรอง (Secondary equity offering: SEO) มีมูลค่ารวม 77,940.11 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 230.66% จากปี 2552
สำหรับในไตรมาส 4/2553 บริษัทจดทะเบียนมีกำไรสุทธิ 158,763.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51.44% จากไตรมาส 4/2552 จากรายได้ที่เพิ่มขึ้นและผลกำไรจากเงินลงทุน และเพิ่มขึ้น 5.72% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2552 จากผลการดำเนินงานที่ปรับดีขึ้น นอกจากนี้ พบว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจการเงิน กลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่มบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เริ่มมีการปรับเพิ่มขึ้นของรายได้อย่างมีเสถียรภาพมากขึ้น โดยในกลุ่มธุรกิจการเงินมีรายได้ในธุรกิจหลัก (รายได้การขายและบริการ) เพิ่มขึ้น 6 ไตรมาสต่อเนื่องกัน ขณะที่รายได้หลักของกลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่มบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ mai เพิ่มขึ้น 3 ไตรมาสต่อเนื่องกัน
ผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.set.or.th/setresearch หรือสอบถามข้อมูลที่ S-E-T Call Center โทร. 0 2229 2222