กรุงเทพฯ--21 ส.ค.--ตลาดหลักทรัพย์ฯ
บริษัทจดทะเบียนประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 เพิ่มจากงวดไตรมาส 1 ถึงกว่าร้อยละ 65 ส่วนผลประกอบการงวด 6 เดือนปี 2545 มีกำไรสุทธิรวม 119,477 ล้านบาท ในขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมที่ทำกำไรงวด 6 เดือน สูงสุด 5 อันดับแรกได้แก่ กลุ่มพลังงาน กลุ่มขนส่ง กลุ่มวัสดุก่อสร้างและตกแต่ง กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มพาณิชย์ ทำกำไรรวมกันถึงร้อยละ 70 ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด ด้านบริษัทหลักทรัพย์รายได้เพิ่มหลังการกำหนดค่าธรรมเนียมขั้นต่ำ ได้กำไรรวมงวด 6 เดือนกว่า 500 ล้านบาท
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนงวด 6 เดือนปี 2545 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2545 ว่า ณ วันที่ 15 สิงหาคม 2545 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยส่งงบการเงินงวด 6 เดือนแรก (มกราคม-มิถุนายน) แล้วจำนวน 371 บริษัท จากบริษัททั้งสิ้น 384 บริษัท หรือคิดเป็นร้อยละ 97 ปรากฏว่ามีบริษัทที่มีผลกำไรสุทธิ 299 บริษัท (ร้อยละ 81) ในขณะที่มีบริษัทขาดทุนสุทธิ 72 บริษัท(ร้อยละ 19) โดยมีผลกำไรสุทธิรวม 119,477 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีผลกำไรสุทธิรวม 92,351 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 29
"บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีผลประกอบการงวดไตรมาส 2 ที่ดีขึ้นกว่าร้อยละ 65 เมื่อเทียบกับผลประกอบการงวดไตรมาสที่ 1 ปี 2545 ซึ่งมีกำไรสุทธิรวม 44,990 ล้านบาท สำหรับผลประกอบการงวด 6 เดือนนั้น มีบริษัทจดทะเบียนถึงร้อยละ 81 (299 บริษัท จากจำนวน 371 บริษัท) มีผลกำไรสุทธิ 119,477 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 29 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน (ซึ่งมีผลกำไรสุทธิ 92,351 ล้านบาท) โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสุทธิ 5 อันดับแรก ทำกำไรรวมกันถึง 59,801 ล้านบาท หรือร้อยละ 70 ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด ได้แก่ กลุ่มพลังงาน กลุ่มขนส่ง กลุ่มวัสดุ ก่อสร้างและตกแต่ง กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มพาณิชย์ ในขณะที่เพียงร้อยละ 19 มีผลขาดทุนสุทธิ (72 บริษัท)" กรรมการและผู้จัดการกล่าว
ผลการดำเนินงานของกลุ่มอุตสาหกรรมและบริการซึ่งเป็นบริษัทส่วนใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ (ไม่รวมสถาบันการเงินและบริษัทในหมวด REHABCO) จำนวน 292 บริษัทมีผลการดำเนินงานดีขึ้น โดยในงวด 6 เดือนแรกของปี 2545 มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 85,068 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 49 เมื่อเทียบกับงวด 6 เดือนแรกของปี 2544 ที่มีกำไรสุทธิ 57,154 ล้านบาท ทั้งนี้เป็นผลจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น อัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่ลดต่ำลงมาก ทำให้ภาระดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทในปีนี้ลดลง นอกจากนี้ การปรับตัวเพิ่มขึ้นของค่าเงินบาททำให้บริษัทจดทะเบียนมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 12,509 ล้านบาท ในขณะที่ปีก่อนมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนถึง 4,921 ล้านบาท
ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมในตลาดหลักทรัพย์ที่มีผลขาดทุนมีจำนวน 2 กลุ่ม คือ กลุ่มการพิมพ์และสิ่งพิมพ์ และกลุ่มเครื่องมือเครื่องจักร มีผลขาดทุนสุทธิรวม 36 ล้านบาท
สำหรับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ใหม่ (MAI) จำนวน 8 บริษัท มีผลกำไรสุทธิจำนวน 6 บริษัท ในขณะที่อีก 2 บริษัทมีผลขาดทุน ซึ่งผลประกอบการโดยรวมมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 61 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 88 ล้านบาทหรือลดลงร้อยละ 31
นายกิตติรัตน์กล่าวต่อว่า "สำหรับงวด 6 เดือนแรก ธนาคารพาณิชย์ทั้ง 13 แห่ง และบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย มีกำไรสุทธิรวม 13,170 ล้านบาท ลดลง 19,895 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 60 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากในปีก่อนธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) (SCIB) มีรายได้จากการโอนสำรองกลับเป็นรายได้จำนวน 45,229 ล้านบาท ซึ่งหากไม่นำรายการดังกล่าวของ SCIB มาพิจารณาในงวด 6 เดือนแรกของปี 2545 ธนาคารพาณิชย์จะมีผลกำไรดีขึ้นร้อยละ 208 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนที่มีขาดทุนสุทธิ 12,164 ล้านบาท (ภายหลังหักรายการพิเศษของ SCIB แล้ว) ซึ่งเป็นผลมาจากกลุ่มธนาคารพาณิชย์มีรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลสุทธิก่อนสำรองหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นร้อยละ 13 เนื่องมาจากการขยายสินเชื่อเพิ่มขึ้นของธนาคารพาณิชย์และการบริหารส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (Spread) ที่ดีขึ้นอันเนื่องมาจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยทั้งเงินฝากและเงินกู้ของธนาคาร นอกจากนี้รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 26 และการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญลดลงร้อยละ 49"
ส่วนผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนที่ประกอบธุรกิจเงินทุนหลักทรัพย์ ก็เป็นไปในแนวทางเดียวกันกับธนาคารพาณิชย์ ธุรกิจเงินทุนหลักทรัพย์จำนวนทั้งสิ้น 13 บริษัท ต่างก็มีผลกำไรสุทธิทุกบริษัท โดยงวด 6 เดือนแรกปี 2545 มีกำไรสุทธิ 3,460 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,416 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 144 ทั้งนี้ เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลสุทธิ และการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญลดลง เนื่องจากบริษัทส่วนใหญ่ตั้งสำรองครบถ้วนแล้ว
"สำหรับบริษัทที่ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์เพียงอย่างเดียวมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น โดยมีกำไรสุทธิ 531 ล้านบาท ในงวด 6 เดือนแรกของปี 2545 จากที่มีขาดทุนสุทธิ 37 ล้านบาทในงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีรายได้จากธุรกิจหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น หลังจากมีการกำหนดอัตราขั้นต่ำค่าธรรมเนียมการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์แทนการเปิดเสรี" นายกิตติรัตน์กล่าว
นางภัทรียา เบญจพลชัย รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทที่อยู่ระหว่างฟื้นฟูการดำเนินงานหรือกลุ่ม REHABCO ว่า "มีบริษัทที่ส่งงบการเงินงวด 6 เดือนแรกของปี 2545 จำนวน 45 บริษัท จาก 52 บริษัท เป็นบริษัทที่มีกำไรสุทธิ 22 บริษัท และขาดทุนสุทธิ 23 บริษัท โดยกำไรสุทธิรวม 16,996 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีผลกำไรสุทธิ 141 ล้านบาท หรือกำไรเพิ่มขึ้น 119 เท่า เนื่องจากการที่บริษัทมีผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ประกอบกับในปีนี้มีภาระดอกเบี้ยจ่ายลดลง ในขณะที่กำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ลดลงร้อยละ 27"
"ส่วนบริษัทจดทะเบียนที่มีความคืบหน้าในการปรับโครงสร้างหนี้ ณ 31 กรกฎาคม 2545 มีถึงร้อยละ 80 โดยมีบริษัทจดทะเบียน แจ้งความคืบหน้าการปรับโครงสร้างหนี้ทั้งสิ้น 149 บริษัท มียอดหนี้รวม 1,159,786 ล้านบาท โดยหนี้ที่มีการปรับโครงสร้างได้แล้วเสร็จในไตรมาสที่ 2 มีจำนวน 41,227 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.39 จากไตรมาสที่ 1
เมื่อรวมหนี้ที่ปรับได้ทั้งสิ้น ณ 31 กรกฎาคม 2545 มีจำนวน 979,448 ล้านบาท ในจำนวนหนี้ที่ปรับแล้วดังกล่าวเป็นของบริษัทที่ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้และฟื้นฟูกิจการโดยกระบวนการศาลล้มละลาย 38 บริษัท ซึ่งปรับโครงสร้างหนี้ได้แล้วเสร็จ 477,581 ล้านบาท (ร้อยละ49) โดยรวมแล้ววิธีการปรับโครงสร้างหนี้ส่วนใหญ่เป็นการขยายอายุหนี้ร้อยละ 52 การแปลงหนี้เป็นทุน/หุ้นกู้ร้อยละ 16 เพิ่มทุนร้อยละ 8 ส่วนที่เหลือร้อยละ 24 เป็นการลดเงินต้นและดอกเบี้ย โอนขายทรัพย์สิน และอื่นๆ " นางภัทรียากล่าว
ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ ส่วนประชาสัมพันธ์ ฝ่ายสื่อสารองค์กรลดาวัลย์ กันทวงศ์ โทร. 0-2229-2036 / กุลวิดา จินตกะวงส์ โทร. 0-2229-2037 / จิวัสสา ติปยานนท์ โทร. 0-2229-2039--จบ--
-นห-