กรุงเทพฯ--26 มี.ค.--บลจ.กรุงไทย
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในวันที่ 27 มีนาคม — 2 เมษายน บริษัทเปิดจำหน่าย2 กองทุนตราสารหนี้ ได้แก่ กองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้ เอฟไอเอฟ 33 (KTFF33) อายุ 1 ปี มูลค่าโครงการ 7,000 ล้านบาท เน้นลงทุนตราสารต่างประเทศ ประเภทเงินฝากประจำ Union National Bank , Bank of China , ECP ค้ำประกันโดย ABER Bank , MTN ออกโดย Itau Unibanco S.A. , MTN ออกโดย Banco Santander Brazil S.A. ในสัดส่วน 95% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ส่วนที่เหลือลงทุนในหุ้นกู้ ตั๋วแลกเงิน สถาบันการเงิน บริษัทเอกชน ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 3.25%ต่อปี
พร้อมกันนี้ ยังเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทยธนทรัพย์ บี 78 ( KTSUPB78 ) อายุ 6 เดือน มูลค่าโครงการ 7,000 ล้านบาท เน้นลงทุนในตราสารต่างประเทศ ประเภทเงินฝากประจำ Union National Bank , Abu Dhabi Commercial Bank , MTN ออกโดย Itau Unibanco S.A. , Banco BTG Pactual S.A. ในสัดส่วน 75% ของมูลค่าทรัพย์ของกองทุน ส่วนที่เหลือลงทุนในหุ้นกู้ ตั๋วแลกเงิน สถาบันการเงิน บริษัทเอกชนในประเทศ ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 2.95% ต่อปี โดยทั้ง 2 กองทุน เงินลงทุนในต่างประเทศมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน
อัตราผลตอบแทนของตลาดตราสารหนี้ไทย อยู่ในช่วงปรับตัวลดลง โดยตราสารภาครัฐระยะกลางถึงยาวปรับลดลง -2 ถึง -7 basis points (bps) เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า ขณะที่ตราสารรุ่นอายุต่ำกว่า 1 ปี ปรับลดลงเล็กน้อย 0 — 2 bps โดยเกิดจากสภาพคล่องที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดตราสารหนี้มีอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการแข็งค่าของเงินบาททำให้ตลาดประเมินว่าธนาคารแห่งประเทศไทยอาจถูกกดดันให้ต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในวันที่ 3 เม.ย. นี้ อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของบริษัท เชื่อว่า กนง.จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.75%
นอกจากนี้ บริษัทยังเตรียมเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทย8%ทริกเกอร์ฟันด์ 11 ( KT-Trigger11 ) ในวันที่ 29 มีนาคม -9 เมษายน 2556 มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท เงินลงทุนขั้นต่ำ 10,000 บาท กองทุนมีนโยบายการลงทุนแบบผสม ลงทุนทั้งในตราสารทุน ตราสารหนี้และ/หรือ เงินฝาก ตามที่สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต.กำหนด โดยผู้จัดการกองทุนสามารถปรับสัดส่วนการลงทุนได้ตามความเหมาะสมกับสถานะการณ์ในแต่ละช่วงเวลา กองทุนจะมีอายุโครงการประมาณ 8 เดือน นับแต่วันจดทะเบียนกองทรัพย์สินเป็นกองทุนรวม หรืออายุโครงการอาจต่ำกว่า 8 เดือน เมื่อกองทุนมีมูลค่าหน่วยลงทุนตั้งแต่ 11.1000 บาทขึ้นไป ของมูลค่าที่ตราไว้ที่ 10 บาท เป็นเวลา 3 วันทำการติดต่อกัน
ทั้งนี้ การปรับตัวลงของตลาดหุ้นไทยที่ค่อนข้างแรงในสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น หากเปรียบเทียบกับหุ้นไทยที่ปรับตัวขึ้นมาแรงตั้งแต่ต้นปี มองได้ว่าเป็นการปรับฐานที่อาจจะใช้เวลาสั้นเพียงแค่ 4 วันเท่านั้น ซึ่งเกิดจากความกังวลของนักลงทุนต่อข่าวลือต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การออกมาตรการควบคุมเงินทุนไหลเข้า จากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ความเสี่ยงทางด้านการเมืองที่อาจจะเกิดขึ้นได้ รวมถึงการขายทำกำไรของนักลงทุนรายใหญ่จำนวนมาก ส่งผลให้มีการถูกบังคับขาย (Force sale) ของนักลงทุนที่ใช้บัญชีมาร์จิ้นเพื่อซื้อหลักทรัพย์ หลังราคาหุ้นปรับตัวลงมาถึงระดับที่ต้องถูกบังคับขายเพื่อตัดความเสียหายของนักลงทุน และบริษัทหลักทรัพย์ ถือเป็นจังหวะที่ดีที่จะเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นไทย เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนต่าง ๆ ในตลาดหลักทรัพย์ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานทางเศรษฐกิจไทยยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี รวมถึงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่จากทางภาครัฐที่ไม่ได้เกิดขึ้นมานานตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง โดยเฉพาะงบ 2 ล้านล้านบาทที่กำลังจะเข้าสภาในเดือนเมษายนนี้ ที่เน้นการลงทุนระบบขนส่งในระบบรางเป็นหลัก จะเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลให้มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจไปยังหัวเมืองในภูมิภาคต่าง ๆ การอุปโภค บริโภคภายในประเทศเพิ่มมากขึ้น บริษัทจดทะเบียนต่าง ๆ สามารถขยายการลงทุน ส่งผลให้อัตราการเจริญเติบโตของผลกำไรขยายตัว
บริษัทจึงได้กำหนดกลยุทธ์ในการลงทุนโดยมีการกำหนดกรอบการคัดสรรหุ้นให้สอดคล้องกับแนวโน้มและทิศทางการลงทุน (Theme) ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นดังที่ได้กล่าวไว้ในเบื้องต้น หุ้นที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจที่ได้รับประโยชน์ได้แก่ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง รับเหมาก่อสร้าง กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ธุรกิจท่องเที่ยว ทั้งนี้ บริษัทได้ให้เป้าหมายดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของไทย ณ สิ้นปี ที่ 1,755 จุด มี Upside ค่อนข้างมาก จึงได้มีการเสนอขายกองทุนKT-TRIGGER11 แนวทางการลงทุน โดยใช้กลยุทธ์ในการคัดสรรหลักทรัพย์ที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงตามปัจจัยพื้นฐาน มีศักยภาพในการเติบโตที่มั่นคงและสามารถสร้างอัตราการเติบโตของกำไร ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่มีความผันผวนและได้รับประโยชน์จากการบริโภค อุปโภคภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น โดยร่วมมือกับทางฝ่ายวิจัยของบริษัทอย่างใกล้ชิดเพื่อให้ผลการดำเนินงานของกองทุนถึงเป้าหมายตามที่ได้คาดการณ์ไว้