กรุงเทพฯ--22 พ.ค.--กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
กระทรวงแรงงาน โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เผยผลการตรวจสถานประกอบกิจการที่มีการใช้จัดเก็บสารเคมีอันตรายตามมาตรการ ๓-๓-๒ พบสถานประกอบกิจการปฏิบัติไม่ถูกต้องเรื่องการจัดทำบัญชีรายชื่อสารเคมีอันตรายและรายละเอียดข้อมูลความปลอดภัยฯ มากสุด ย้ำนายจ้างต้องปฏิบัติตามกฎหมายหากฝ่าฝืนมีโทษอาญา
นายสุเมธ มโหสถ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน(กสร.) เปิดเผยถึงผลการตรวจ ความปลอดภัยฯแบบเข้มข้นตามมาตรการ ๓-๓-๒ ในสถานประกอบกิจการที่มีการใช้สารเคมีว่า ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ถึงเดือนเมษายน ๒๕๖๐ ได้ดำเนินการตรวจสถานประกอบกิจการ ๙๘๖ แห่งลูกจ้างเกี่ยวข้อง ๑๒๖,๔๕๘ คน พบสถานประกอบกิจการปฏิบัติไม่ถูกต้อง ๓๐๗ แห่ง พนักงานตรวจความปลอดภัยได้ออกคำสั่งให้ปรับปรุงแล้ว ๒๘๒ แห่ง ให้นำเอกสารมาแสดง ๒๕ แห่ง ในจำนวนนี้ได้ส่งดำเนินคดีตามกฎหมาย ๑ แห่ง ทั้งนี้พบว่าเรื่องที่ปฏิบัติไม่ถูกต้อง ๓ ลำดับแรก ได้แก่ ไม่จัดทำบัญชีรายชื่อสารเคมีอันตรายและรายละเอียดข้อมูลความปลอดภัยของสารเคมีที่มีอยู่ในครอบครองและแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบภายในเจ็ดวัน จำนวน ๑๗๗ แห่ง คิดเป็นร้อยละ ๕๗.๖, ไม่ปิดฉลากรายละเอียดเกี่ยวสารเคมีเป็นภาษาไทยไว้ที่หีบห่อหรือภาชนะบรรจุสารเคมีอันตราย จำนวน ๘๐ แห่ง คิดเป็นร้อยละ ๒๖ และไม่จัดทำคู่มือ ขั้นตอนการทำงานเกี่ยวกับสารเคมีอันตราย จำนวน ๒๕ แห่ง คิดเป็นร้อยละ ๘.๑๙ ตามลำดับ ซึ่งทั้ง ๓ เรื่องที่ไม่ปฏิบัตินั้น เป็นหลักการพื้นฐานที่ควรปฏิบัติ เพื่อศึกษาทำความเข้าใจสารเคมีที่ตนใช้ ข้อปฏิบัติที่ปลอดภัยในการนำสารเคมีมาใช้ ข้อควรระวังต่างๆ รวมทั้งการไม่ติดฉลากรายละเอียด คู่มือและขั้นตอนการทำงานเพื่อสื่อสารให้ผู้พบเห็นหรือผู้ใช้เข้าใจถึงอันตรายปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้อง ไม่ก่อเกิดอันตรายเป็นการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับสารเคมีอันตราย พ.ศ. ๒๕๕๖ มีโทษจำคุกไม่เกิน ๑ ปี หรือปรับไม่เกิน ๔ แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอให้สถานประกอบกิจการที่มีการใช้สารเคมีอันตรายให้ปฏิบัติให้ถูกต้องที่กฎหมายกำหนดหากฝ่าฝืนจะดำเนินการตามกฎหมายกรณีมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ ๑ – ๑๐ สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดทุกจังหวัด หรือที่โทรศัพท์สายด่วน ๑๕๔๖