กรุงเทพฯ--12 มิ.ย.--เอ็มที มัลติมีเดีย
แอล เอช ฟันด์ คาดตลาดหุ้นไทยครึ่งปีหลังมีลุ้นดัชนีปรับขึ้นไปแตะที่ระดับ 1,650 จุด จากปัจจัย ธปท.ปรับเพิ่มประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจเป็น 3.4% จากเดิม 3.2% แต่คาดมีโอกาสที่ดัชนีและราคาหุ้นจะผันผวนมากขึ้น ชี้การลงทุนในหุ้นผ่านกองทุนรวมยังมีโอกาสรับผลตอบแทนที่ดี แต่ต้องคัดเลือกกองทุนที่มีนโยบายที่เหมาะสม อาทิ กองLHGROWTH สำหรับการลงทุนในระยะยาว หรือกอง LHSTRATEGY สำหรับการลงทุนในระยะสั้น พร้อมโชว์ศักยภาพกองทุนภายใต้การบริหารจัดการของแอล เอช ฟันด์ ที่ได้รับการจัดอันดับ 5 ดาวจากมอร์นิ่งสตาร์ ไทยแลนด์
นายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด หรือ แอล เอช ฟันด์ เปิดเผยว่า มีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยในครึ่งปีหลัง ถึงแม้สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยในช่วงกว่า 5 เดือนแรกที่ผ่านมายังไม่ได้สร้างผลตอบแทนที่โดดเด่นมากนัก โดยปัจจัยที่กดดันดัชนีส่วนใหญ่มาจากภายนอกประเทศ โดยเฉพาะปัจจัยด้านการเมืองและเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกาและประเทศในกลุ่มยูโรโซน อาทิ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) การกำหนดนโยบายทางการค้าของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่มีผลกระทบกับประเทศในเอเชีย โดย แอล เอช ฟันด์ คาดการณ์แนวโน้มดัชนีครึ่งปีหลัง มีโอกาสปรับขึ้นมาที่ระดับ 1,650 จุด หรือสูงกว่านั้นได้
สำหรับปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทยในครึ่งปีหลัง คาดว่าจะได้รับผลดีจากผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่คาดการณ์จะเติบโตได้ดี หลังจากที่ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1ยังคงเติบโตได้ต่อเนื่องรวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับเพิ่มประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ในปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น3.4% จากเดิม 3.2% ประกอบกับรัฐบาลมีนโยบายเดินหน้าลงทุนโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
"เรามีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยในครึ่งปีหลัง อย่างไรก็ตามวิเคราะห์ว่าดัชนีและราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มผันผวนจากปัจจัยภายนอกประเทศที่อยู่นอกเหนือการควบคุม ทั้งแนวโน้มการประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดอีก 2 ครั้งในปีนี้ การปรับลดขนาดสินทรัพย์ในงบดุลของเฟดและปัจจัยอื่นๆ ทางด้านเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ตลอดจนปัจจัยทางการเมืองและเศรษฐกิจในยูโรโซนที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด" นายมนรัฐ กล่าว
กรรมการผู้จัดการ แอล เอช ฟันด์ กล่าวว่า ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าวการลงทุนในหุ้นผ่านกองทุนรวม เป็นทางเลือกที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ดี อาทิ กองทุนเปิด แอล เอช โกรท (LHGROWTH) ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นที่มีการเติบโต เหมาะสำหรับการเก็บสะสมเพื่อผลตอบแทนในระยะยาว, กองทุนเปิด แอล เอช สแทรทิจี อิควิตี้(LHSTRATEGY) ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นผันผวนต่ำ (Low Beta) เพื่อลดความเสี่ยงในช่วงที่ดัชนีมีความผันผวนหรือปรับลดลง โดยคาดว่ากองทุนจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ หากดัชนีปรับตัวขึ้นไปที่ 1,650 จุดตามที่คาดการณ์ไว้
นอกจากนี้ แอล เอช ฟันด์ ยังมีทีมงานที่มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญการบริการจัดการกองทุนที่ลงทุนในหุ้นและสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ ส่งผลให้ ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2560 บลจ.มีกองทุนที่ได้รับการจัดอันดับ 5 ดาว จากมอร์นิ่งสตาร์ ไทยแลนด์ จำนวน 4 กองทุน แบ่งเป็น 1. กองทุนที่ลงทุนในหุ้น 1 กองทุน (3 Class) ได้แก่ กองทุนเปิดLHGROWTH-D LHGROWTH-R และ LHGROWTH-A ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นที่มีการเติบโต 2. กองทุนLHFLRMF มีนโยบายการลงทุนแบบผสมที่ลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ 3. กองทุน LHTPROP ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นหรือตราสารกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ และ 4.กองทุน LHDEBT-D ชนิดจ่ายเงินปันผล ที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้
"ปัจจุบันนักลงทุนยังคงให้ความเชื่อมั่นในการลงทุนกับ แอล เอช ฟันด์ เนื่องจากเราเป็น บลจ.ที่มีความเชี่ยวชาญในการบริหารกองทุนที่หลากหลาย ซึ่งรวมถึงการบริหารจัดการกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นกลุ่มต่างๆ เพื่อเป็นทางเลือกกระจายการลงทุน โดยคาดว่าหากดัชนีหุ้นไทยในครึ่งปีหลังปรับตัวขึ้นตามที่คาดการณ์ กองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีแก่ผู้ถือหน่วยลงทุนได้" นายมนรัฐ กล่าว