ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายวิชาการเพื่อสังเกตการณ์และวิจัยความสุขชุมชน (ศูนย์วิจัยความสุขชุมชน) มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง ความรู้ ความเข้าใจของเด็ก-เยาวชนไทยเกี่ยวกับวันมาฆบูชาและความตั้งใจที่จะทำกิจกรรมต่างๆ ในวันมาฆบูชา กรณีศึกษาตัวอย่างเยาวชนอายุ 12-24 ปีที่พักอาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 1,325 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 10—12 กุมภาพันธ์ 2554 ผลการสำรวจ พบว่ามีเพียงร้อยละ 34.6 ทราบและระบุได้ถูกต้อง ว่าวันมาฆบูชาตรงกับวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ร้อยละ 65.4 ไม่ทราบ
ผลสำรวจเมื่อสอบถามการรับรู้ในหลักธรรมคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงในวันมาฆบูชานั้น พบว่ามีตัวอย่างเพียง ร้อยละ 37.3 เท่านั้นที่สามารถระบุได้อย่างถูกต้องว่าคือ “โอวาทปาฏิโมกข์” ในขณะที่ตัวอย่างประมาณ 2 ใน 3 คือร้อยละ 62.7 ไม่ทราบ/ระบุไม่ถูกต้อง ประเด็นที่น่าสนใจอย่างยิ่งก็คือ เมื่อได้สอบถามต่อไปว่าหลักธรรมโอวาทปาฏิโมกข์ หมายถึงอะไรนั้นพบว่า มีอยู่เพียงร้อยละ 27.7 เท่านั้นที่สามารถสรุปใจความสำคัญของหลักธรรมดังกล่าวได้อย่างถูกต้องว่าหมายถึง “การทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์” นอกจากนั้นคือร้อยละ 12.9 ระบุความหมายของโอวาทปาติโมกข์ในแบบอื่นๆ อาทิ หมายถึง การเดินทางสายกลาง การดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท ความละอายและเกรงกลัวต่อบาป ในขณะที่ร้อยละ 51.0 ระบุถูกทุกข้อที่กล่าวมา และร้อยละ 8.4 ระบุไม่ทราบว่าหมายถึงอะไร
สำหรับกิจกรรมที่จะทำในวันมาฆบูชาที่จะมาถึงนี้ พบว่า ร้อยละ 72.2 ระบุจะทำบุญตักบาตร ร้อยละ 50.9 ระบุร่วมพิธีเวียนเทียน ร้อยละ 42.0 ระบุใช้เวลาอยู่กับครอบครัว และรอง ๆ ลงมา คือ ถวายสังฆทาน ทำความสะอาดบ้านเรือน ปล่อยนก ปล่อยปลา บริจาค ทำทานสงเคราะห์ผู้อื่น เข้าวัดฟังธรรม นั่งสมาธิ เจริญภาวนา และช่วยงานชุมชน/สาธารณะ เป็นต้น
สำหรับพฤติกรรมที่เยาวชนไทยตั้งใจจะลด ละ เลิกในวันมาฆบูชาที่จะมาถึงนี้ ได้แก่ เลิกนิสัยการพูดไม่ดี เช่น พูดปด โกหก นินทาว่าร้าย พูดส่อเสียด ไร้สาระ เป็นต้น ลดการดื่มเหล้า เลิกสูบบุหรี่ เลิกเล่นการพนัน/อบายมุข เลิกลักเล็กขโมยน้อย เลิกขี้เกียจ เลิกใช้ยาเสพติด เลิกทำสิ่งผิดกฎหมาย เลิกทะเลาะวิวาทกับคนอื่น/ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน เป็นต้น
ที่น่าพิจารณา คือ สิ่งที่เยาวชนไทยต้องการให้รัฐบาลดำเนินการเพื่อส่งเสริมงานด้านพระพุทธศาสนา พบว่า ร้อยละ 65.7 ระบุจัดให้มีงานนิทรรศการ/กิจกรรมทางศาสนาในวันสำคัญเป็นประจำ ร้อยละ 32.9 ระบุรณรงค์ให้กลุ่มเยาวชนหันมาสนใจและเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาให้มากขึ้น อาทิ ทำบุญตักบาตร สวดมนต์ ถือศีล 5 เป็นต้น ร้อยละ 15.5 ระบุจัดสรรงบประมาณในการบำรุงรักษา ศาสนสถานต่าง ๆ ร้อยละ 1.5 ดูแลพระภิกษุ/สามเณรไม่ให้ทำผิดศีลธรรม และร้อยละ 1.4 ระบุอื่น ๆ อาทิ การรักษาความปลอดภัยภายในวัด/ให้จัดกิจกรรมในวัดให้มากขึ้น เป็นต้น
กลุ่มเด็กและเยาวชนไทยที่ให้ความสำคัญกับวันมาฆบูชามากกว่าวันวาเลนไทน์ มีจำนวนมากกว่า กลุ่มเด็กที่ให้ความสำคัญกับวันวาเลนไทน์มากกว่าวันมาฆบูชา คือ ร้อยละ 43.2 ต่อร้อยละ 6.4 อย่างไรก็ตาม ร้อยละ 27.3 ให้ความสำคัญเท่ากันทั้ง 2 วัน และร้อยละ 23.1 ไม่มีความเห็น
ดร.นพดล ผอ.ศูนย์วิจัยความสุขชุมชน กล่าวว่า จากผลการสำรวจครั้งนี้ พบว่า ความรู้ความเข้าใจและการให้ความสำคัญของเด็กและเยาวชนต่อวันมาฆบูชาอยู่ในเกณฑ์น้อย และเมื่อพิจารณาด้านการประพฤติปฏิบัติตนทางศาสนาแล้วพบว่าอยู่ในเกณฑ์ที่น่าเป็นห่วงเพราะเด็กมีความตั้งใจน้อยมากในเรื่องการเข้าวัดฟังเทศน์ ฟังธรรม และการนั่งสมาธิเจริญภาวนา นอกจากนี้ เด็กบางส่วนตั้งใจจะ ลด ละ เลิก สิ่งที่ไม่ดีไม่งามในวันมาฆบูชา แต่ก็มีโอกาสสูงที่จะกลับไปทำผิดซ้ำอีก เพราะสภาพแวดล้อมชุมชน สถานศึกษา สื่อมวลชน การโฆษณา กลุ่มเพื่อน ความเคยชิน และครอบครัว เป็นปัจจัยชี้ชวนนำที่มีอิทธิพลสูงต่อการตัดสินใจของเด็กและเยาวชนกลุ่มนี้ จึงเรียกร้องให้รัฐบาลชุดปัจจุบันและผู้ใหญ่ในสังคมให้ความสำคัญกับระบบคุณธรรม หลักศาสนาของทุกศาสนา กระตุ้นให้เด็กและเยาวชนแปลงความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง เสริมความตระหนักและจิตสำนึก สู่แนวทางปฏิบัติในกลุ่มเด็กและเยาวชนอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน และสื่อมวลชนเป็นสถาบันที่สำคัญและมีผลชี้นำชี้แนะที่สร้างสรรค์ให้กับกลุ่มเด็กและเยาวชนได้อย่างมาก สถาบันสื่อมวลชนจึงน่าที่จะช่วยกันรณรงค์ให้เด็กและเยาวชนหันมาสนใจวันสำคัญทางศาสนา และแสดงออกซึ่งพฤติกรรมที่ดีไม่ใช่มีแต่เพียงความตั้งใจเท่านั้น นอกจากนี้กลุ่มพ่อแม่ ผู้ปกครอง ครูอาจารย์ทั้งหลายควรใช้โอกาสวันมาฆบูชานี้ทำให้ความตั้งใจของเด็กและเยาวชนบรรลุถึงกิจกรรมที่ดีได้ โรงเรียนและชุมชนควรจัดสร้างบรรยากาศของการทำความดีให้เกิดขึ้นโดยมีกลุ่มเด็กและเยาวชนเป็นกำลังสำคัญในการทำกิจกรรมต่างๆ เช่น การทำบุญตักบาตรร่วมกัน การทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์เพื่อโรงเรียนและชุมชน เป็นต้น ผลที่ตามมาก็คือ เด็กและเยาวชนของสังคมน่าจะสามารถบรรลุถึงความสำเร็จในการทำกิจกรรมที่ดีตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาได้อย่างยั่งยืนต่อไป ดร.นพดล กล่าว
จากการพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 49.8 เป็นชาย
ร้อยละ 50.2 เป็นหญิง
ตัวอย่าง ร้อยละ 26.5 อายุระหว่าง 12-15 ปี
ร้อยละ 23.0 อายุระหว่าง 16-18 ปี
ร้อยละ 28.0 อายุระหว่าง 19-21 ปี
และร้อยละ 22.5 อายุระหว่าง 22-24 ปี
และกลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 1.0 ระบุไม่ได้เรียนหนังสือเลย
ร้อยละ 1.5 ระบุเคยเรียนแต่เลิกเรียนแล้ว
ร้อยละ 5.5 ระบุเป็นนักเรียน แต่ตอนนี้ถูกพักการเรียน
ร้อยละ 83.2 ระบุเป็นนักเรียนกำลังเรียนอยู่
และร้อยละ 8.8 ระบุเรียนจบแล้วตามลำดับ
ลำดับที่ การรับรู้/รับทราบ ค่าร้อยละ 1 ทราบและระบุได้ถูกต้อง ว่าตรงกับวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 34.6 2 ไม่ทราบ 65.4 รวมทั้งสิ้น 100.0 ตารางที่ 2 แสดงค่าร้อยละของตัวอย่างที่ระบุ การรับทราบว่าหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ได้แสดงในวันมาฆบูชา ลำดับที่ การรับทราบหลักธรรมคำสอน ค่าร้อยละ 1 รับทราบและสามารถระบุได้อย่างถูกต้องว่า คือ โอวาทปาฏิโมกข์ *** 37.3 2 ไม่ทราบ/ระบุไม่ถูกต้อง 62.7 รวมทั้งสิ้น 100.0 ตารางที่ 3 แสดงค่าร้อยละของตัวอย่างที่สรุปใจความสำคัญของหลักธรรมคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงในวันมาฆบูชา (เฉพาะผู้ที่ตอบหลักธรรมคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงในวันมาฆบูชาถูกต้อง คือ โอวาทปาฏิโมกข์) ลำดับที่ สรุปใจความสำคัญของหลักธรรมคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงในวันมาฆบูชา ค่าร้อยละ 1 การทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ *** 27.7 2 การเดินทางสายกลาง 4.6 3 การดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท 5.2 4 ความละอายและเกรงกลัวต่อบาป 3.1 5 ถูกทุกข้อ 51.0 6 ไม่ทราบ 8.4 รวมทั้งสิ้น 100.0
หมายเหตุ *** เป็นคำตอบที่ถูกต้อง
ลำดับที่ ความตั้งใจที่จะทำกิจกรรมในวันมาฆบูชาที่จะมาถึงนี้ ค่าร้อยละ 1 ทำบุญตักบาตร 72.2 2 ร่วมพิธีเวียนเทียน 50.9 3 ใช้เวลาอยู่กับครอบครัว 42.0 4 ถวายสังฆทาน 31.4 5 ทำความสะอาดบ้านเรือน 30.5 6 ปล่อยนก ปล่อยปลา 29.1 7 บริจาค ทำทานสงเคราะห์ผู้อื่น 23.4 8 เข้าวัดฟังธรรม 19.9 9 นั่งสมาธิ เจริญภาวนา 17.9 10 ช่วยงานชุมชน/สาธารณะ 10.9 ตารางที่ 5 แสดงค่าร้อยละของตัวอย่างที่ระบุ พฤติกรรมที่ตั้งใจจะ ลด- ละ - เลิก”ในวันมาฆบูชาที่จะมาถึงนี้ (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) ลำดับที่ พฤติกรรมที่ตั้งใจจะ “ลด- ละ - เลิก” ในวันมาฆบูชา ค่าร้อยละ 1 เลิกนิสัยการพูดไม่ดี เช่น พูดปด โกหก นินทาว่าร้าย พูดส่อเสียด ไร้สาระ 51.9 2 ลดการดื่มเหล้า 50.6 3 เลิกสูบบุหรี่ 15.2 4 เลิกเล่นการพนัน/อบายมุข 12.4 5 เลิกลักเล็กขโมยน้อย 11.0 6 เลิกขึ้เกียจ 4.4 7 เลิกใช้ยาเสพติด 2.8 8 เลิกทำสิ่งผิดกฎหมาย 1.8 9 เลิกทะเลาะวิวาทกับคนอื่น/ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน 0.8 ตารางที่ 6 แสดงค่าร้อยละของตัวอย่างที่ระบุ สิ่งที่ต้องการให้รัฐบาลดำเนินการเพื่อส่งเสริมงานด้านพระพุทธศาสนา (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) ลำดับที่ สิ่งที่ต้องการให้รัฐบาลดำเนินการเพื่อส่งเสริมงานด้านพระพุทธศาสนา ค่าร้อยละ 1 จัดให้มีงานนิทรรศการ/กิจกรรมทางศาสนาในวันสำคัญเป็นประจำ 65.7 2 รณรงค์ให้กลุ่มเยาวชนหันมาสนใจและเข้าร่วมกิจจกรรมทางศาสนาให้มากขึ้น อาทิ ทำบุญตักบาตร สวดมนต์ ถือศีล5 เป็นต้น 32.9 3 จัดสรรงบประมาณในการบำรุงรักษาศาสนสถานต่าง ๆ 15.5 4 ดูแลพระภิกษุ/สามเณร ไม่ให้ทำผิดศีลธรรม 1.5 5 อื่น ๆ อาทิ การรักษาความปลอดภัยภายในวัด/ให้จัดกิจกรรมในวัดให้มากขึ้น เป็นต้น 1.4 ตารางที่ 7 แสดงค่าร้อยละของตัวอย่างที่ระบุ การให้ความสำคัญระหว่าง “วันมาฆบูชา” และ “วันวาเลนไทน์” ลำดับที่ การให้ความสำคัญระหว่าง “วันมาฆบูชา” และ “วันวาเลนไทน์” ค่าร้อยละ 1 ให้ความสำคัญ “วันมาฆบูชา” มากกว่า 43.2 2 ให้ความสำคัญ “วันวาเลนไทน์” มากกว่า 6.4 3 ให้ความสำคัญเท่ากันทั้ง 2 วัน 27.3 4 ไม่มีความเห็น 23.1 รวมทั้งสิ้น 100.0
--เอแบคโพลล์--