เอแบคโพลล์: รายงานตัวเลขผลประมาณการจำนวนเด็กและเยาวชนที่ใช้ยาเสพติดทั่วประเทศ

ข่าวผลสำรวจ Thursday September 15, 2011 11:09 —เอแบคโพลล์

ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยโครงการเฝ้าระวังและรักษาคุณภาพอนาคตเยาวชนไทย ในงานวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง รายงานตัวเลขผลประมาณการจำนวนเด็กและเยาวชนที่ใช้ยาเสพติดทั่วประเทศ กรณีศึกษาตัวอย่างอายุ 12 — 24 ปี ทั้งในระบบและนอกระบบการศึกษา ในพื้นที่ 17 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ประจวบคีรีขันธ์ ลพบุรี ปทุมธานี ชลบุรี สุโขทัย เพชรบูรณ์ เชียงใหม่ ยโสธร กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ ขอนแก่น นครราชสีมา ยะลา สุราษฎร์ธานี และสงขลา จากกลุ่มเด็กและเยาวชนเป้าหมายทั้งในระบบและนอกระบบการศึกษาจำนวนทั้งสิ้น 12,253,191 คน ดำเนินโครงการระหว่าง วันที่ 15 สิงหาคม — 14 กันยายน 2554 ที่ผ่านมา โดยการเลือกตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่มเชิงชั้นภูมิหลายชั้น สุ่มจังหวัด อำเภอ ตำบล ชุมชน/หมู่บ้าน ครัวเรือนและเด็กเยาวชนในระดับครัวเรือน จำนวน 2,783 ตัวอย่าง มีช่วงความคลาดเคลื่อนบวกลบร้อยละ 7 ประเด็นสำคัญที่ค้นพบครั้งนี้ พบว่า

เด็กและเยาวชนที่ถูกศึกษาร้อยละ 20.7 สูบบุหรี่ โดยอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 15 ปี และสูบครั้งแรกอายุต่ำสุด 5 ขวบ ในขณะที่เด็กและเยาวชนร้อยละ 35.0 ดื่มเหล้า โดยอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 16 ปี และดื่มเหล้าครั้งแรกอายุต่ำสุด 4 ขวบ

ดร.นพดล กล่าวต่อว่า สิ่งที่น่าห่วงอย่างยิ่ง คือ ผลวิจัยตามหลักสถิติประมาณการจำนวนเด็กและเยาวชนทั้งในระบบและนอกระบบการศึกษาที่ใช้สารเสพติดทั่วประเทศในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา พบว่ามีผู้ใช้ยาเสพติดประเภทต่างๆ ไม่นับรวมเหล้าและบุหรี่ จำนวนทั้งสิ้น 1,715,447 คน (หนึ่งล้านเจ็ดแสนกว่าคน) โดยจำแนกออกเป็นตัวยาต่างๆ พบว่า เสพกัญชามากที่สุดคือ 894,483 คน โดยอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 17 ปี รองลงมาคือ ยาบ้า จำนวน 649,419 คน โดยมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 17 ปี และที่น่าตกใจคือเสพยาบ้าครั้งแรกที่อายุ 7 ขวบ และอันดับที่สามคือ ยาไอซ์มีจำนวน 563,647 คน มีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 16 ปี เป็นต้น

ที่น่าพิจารณา คือ เมื่อใช้สถิติวิจัยค่า Odds Ratio มาวิเคราะห์ข้อมูลระหว่างการสูบบุหรี่ของเด็กและเยาวชน เปรียบเทียบกับเด็กและเยาวชนที่ไม่สูบบุหรี่ พบว่า เด็กและเยาวชนที่สูบบุหรี่มีโอกาสเสพยาเสพติด มากกว่า 5 เท่า และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มที่ดื่มเหล้ากับไม่ดื่มเหล้า พบว่า เด็กและเยาวชนที่ดื่มเหล้ามีโอกาสเสพยาเสพติดมากกว่าถึง 7 เท่า

นอกจากนี้ เมื่อเปรียบเทียบกลุ่มที่มีปัญหาและไม่มีปัญหาด้านต่างๆ ในชีวิต พบประเด็นที่น่าสนใจคือ กลุ่มที่มีปัญหาด้านการเรียนมีโอกาสสูบบุหรี่/ดื่มเหล้าสูงเป็น 2 เท่า และมีโอกาสเสพยาเสพติดมากกว่า 1 เท่า กลุ่มที่มีปัญหาด้านการเงินยังมีโอกาสสูบบุหรี่ ดื่มเหล้าสูงเป็น 2 เท่า และมีโอกาสเสพยาเสพติดมากกว่า 2 เท่า กลุ่มที่มีปัญหาครอบครัว มีโอกาสสูบบุหรี่ / ดื่มเหล้ามากกว่า 2 เท่า และหันไปใช้ยาเสพติดมากกว่า 2 เท่า แต่ที่น่าเป็นห่วงสุดคือ กลุ่มที่มีปัญหาเรื่องแฟนหรือคู่รักมีโอกาสสูบบุหรี่ / ดื่มเหล้ามากกว่า 3 เท่า และหันไปพึ่งยาเสพติดมากกว่า 3 เท่า เช่นกัน เป็นต้น

และเมื่อสอบถามถึงความต้องการของเด็กและเยาวชนที่ต้องการจากรัฐบาลและผู้ใหญ่ในสังคม พบว่า เด็กและเยาวชนส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 90.5 ระบุควรเพิ่มพื้นที่ที่จะส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีของเยาวชนไทย รองลงมา คือร้อยละ 83.6 ควรปฏิรูปเศรษฐกิจ ร้อยละ 83.3 ระบุควรปฏิรูปสังคม ร้อยละ 82.6 ระบุควรขจัดพื้นที่เสี่ยงทำลายคุณภาพของเยาวชนไทย เช่น สถานบันเทิง บ่อนพนัน ร้อยละ 73.0 ระบุควรปฏิรูปการเมือง และรอง ๆ ลงไปคือ ประชาชนต้องมีอิสระ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น มีการแบ่งพรรคแบ่งพวกมากเกินไป ไม่รู้จักให้อภัย ไม่มีน้ำใจต่อกัน นักการเมืองเป็นตัวอย่างไม่ดี ยึดถือประโยชน์ของตนเองเป็นส่วนใหญ่ ต้องการความเป็นประชาธิปไตยที่แข็งแกร่ง และผู้ใหญ่เป็นตัวอย่างไม่ดี ใช้ความรุนแรงแก้ปัญหากัน ตามลำดับ

ดร.นพดล กล่าวว่า ผลการประมาณการและเสียงสะท้อนจากเด็กและเยาวชนที่ค้นพบครั้งนี้อาจชี้ให้เห็นถึงสถานการณ์ปัญหา ยาเสพติดที่กำลังทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น และส่งผลกระทบต่อคุณภาพเด็กและเยาวชนไทยหลายด้านที่เห็นได้ชัดเจนคือ การใช้ความรุนแรงในกลุ่มเด็กและเยาวชนที่ตัวยาบางตัวไปกระตุ้นพฤติกรรมที่ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย ไม่มีจิตใจที่เอื้ออาทรต่อผู้อื่น ความเมตตากรุณาจะถูกลบเลือนออกไปจากความรู้สึกของผู้ใช้ยาเสพติด และหากเด็กและเยาวชนส่วนใหญ่เป็นเช่นนี้ สังคมไทยจะอยู่ต่อไปไม่ได้อย่างปกติสุข มีผลเสียหายร้ายแรงกว่าความขัดแย้งทางการเมืองหลายเท่าตัว เพราะความขัดแย้งทางการเมืองอาจจะใช้หลักเหตุและผลตกลงกันได้ แต่ฤทธิ์ของยาเสพติดจะทำให้หลักการใช้เหตุผลเป็นไปแทบไม่ได้เลย ดังนั้น ในช่วงเวลานี้ต้องใช้ยาแรงตามแนวยุทธศาสตร์พลังแผ่นดิน แต่น่าจะฟังเสียงสะท้อนโดยตรงจากกลุ่มเด็กและเยาวชนควบคู่ไปด้วย ทางออกที่น่าพิจารณาคือ

ประการแรก เพิ่มพื้นที่เชิงสร้างสรรค์ ปกป้องคุณภาพของเด็กและเยาวชนให้ได้สัมผัสเรียนรู้โครงการต่าง ๆ ที่สำคัญได้แก่ โครงการกองทุนแม่ โครงการสัมผัสหลักปรัชญาชีวิตพอเพียง โครงการทูบีนัมเบอร์วัน โครงการพระดาบส โครงการรักษาพื้นป่าและธรรมชาติ โครงการห้องสมุดเคลื่อนที่ที่อาจพัฒนาเป็น e-book และอินเทอร์เน็ตเพื่อการศึกษาเคลื่อนที่ในเขตหัวเมืองใหญ่ต่างๆ เพราะโครงการเหล่านี้น่าจะต่อยอดอนาคตที่มีคุณภาพดีในกลุ่มเด็กและเยาวชน

ประการที่สอง รัฐบาลน่าจะนำยุทธศาสตร์จัดระเบียบสังคมมาใช้อย่างจริงจังต่อเนื่องลดพื้นที่เสี่ยงรอบสถาบันการศึกษาและชุมชน เช่น สถานบันเทิงและบ่อนการพนัน และ จัดสภาพแวดล้อมทางกายภาพ ขจัดพื้นที่รกร้างว่างเปล่า แหล่งมั่วสุมต่าง ๆ รัฐบาลอาจจะเปิดนิมิตใหม่ในภาพลักษณ์ของความปรองดองเชิญชวน ร.ต.อ.ดร.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ลงพื้นที่ร่วมกับ ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง กวดขันพื้นที่ตรวจค้นจุดเสี่ยงต่างๆ ในเขตเมือง เหมือนกับหลายประเทศที่พัฒนาแล้ว บรรดาผู้นำประเทศเขาจะจับมือทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลช่วยกันทำงานเพื่อประชาชนอย่างแท้จริงในปัญหาสำคัญที่เป็นวาระแห่งชาติหรือ Agenda ของประเทศ

ประการที่สาม น่าจะมีระบบฐานข้อมูลที่มีประสิทธิภาพติดตามกลุ่มเด็กและเยาวชนที่หลงผิดติดยาเสพติดผ่านการบำบัดแล้ว ให้เป็นที่ยอมรับของชุมชนและสังคม มีหน้าที่การงาน มีการศึกษาและมีอนาคตที่ดี โดยเสนอให้ติดตามประเมินผลต่อเนื่องนาน 5 ปี จนมั่นใจว่าพวกเขาเจริญเติบโตอย่างปกติสุขไม่เป็นอันตรายต่อผู้อื่นและสังคม

จากการพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 51.1 เป็นชาย ร้อยละ 48.9 เป็นหญิง ตัวอย่างร้อยละ 32.2 อายุระหว่าง 12 — 15 ปี ร้อยละ 39.5 อายุระหว่าง 16 — 20 ปี ร้อยละ 28.3 อายุระหว่าง 21—24 ปี ตัวอย่างร้อยละ 1.7 ไม่ได้เรียนหนังสือเลย ร้อยละ 78.5 กำลังศึกษาอยู่ ร้อยละ 19.8 สำเร็จการศึกษาแล้ว

ตารางที่ 1 แสดงค่าร้อยละของตัวอย่างที่ระบุ การสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา
ลำดับที่          บุหรี่ เหล้า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์     ค่าร้อยละ    อายุเฉลี่ยที่สูบ/ดื่ม  สูบ/ ดื่มครั้งแรก
1          สูบบุหรี่                              20.7          15 ปี          5 ขวบ
2          เหล้า                               35.0          16 ปี          4 ขวบ
3          เบียร์                               35.8          16 ปี          4 ขวบ
4          น้ำผลไม้ผสมแอลกอฮอล์                  24.2          16 ปี          4 ขวบ

ตารางที่ 2 ผลประมาณการจำนวนเด็กและเยาวชนที่ใช้สารเสพติดทั่วประเทศ จำแนกตามตัวยาเสพติด ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา
ลำดับที่          ประเภท                      จำนวน (คน)     อายุเฉลี่ย (ปี)   อายุที่ใช้ครั้งแรก (ปี)
1          ยาเสพติด (ไม่นับรวมเหล้าและบุหรี่)     1,715,447
2          กัญชา                              894,483          17 ปี
3          ยาบ้า                              649,419          17 ปี          7 ขวบ
4          ยาไอซ์                             563,647          16 ปี
5          ยานอนหลับ/ยาคลายเครียด              453,368          17 ปี
6          กระท่อม                            428,862          17 ปี
7          สารระเหย                          343,089          15 ปี
8          ยาอี/เอ็กซ์ตาซี/ยาเลิฟ                 171,545          16 ปี
9          โคเคน                             110,279
10          เฮโรอีน                            98,026
11          ฝิ่น                                85,772

หมายเหตุ จากจำนวนเด็กและเยาวชนไทยในระบบฐานข้อมูลกรมการปกครอง ปี พ.ศ. 2553 จำนวนทั้งสิ้น 12,253,191 คน

ตารางที่ 3 แสดงผลวิเคราะห์ทางสถิติวิจัยเกี่ยวกับสาเหตุของพฤติกรรมและปัญหาต่างๆ ที่นำไปสู่โอกาสเสพยาเสพติด
ลำดับที่          พฤติกรรม / ปัญหา ในกลุ่มเด็ก และเยาวชน          ค่าสถิติวิจัย Odds Ratio     ค่าสถิติวิจัย Odds Ratio

โอกาสสูบบุหรี่/ ดื่มเหล้า โอกาสเสพยาเสพติด

1          สูบบุหรี่                                                                        5 เท่า
2          ดื่มเหล้า                                                                       7 เท่า
3          ปัญหาด้านการเรียน/การศึกษา                                2 เท่า                  1 เท่า
4          ปัญหาทางด้านการเงิน                                      2 เท่า                  2 เท่า
5          ปัญหาครอบครัว                                           2 เท่า                  2 เท่า
6          ปัญหาเรื่องแฟน/คู่รัก                                       3 เท่า                  3 เท่า
7          ปัญหาทางด้านสุขภาพส่วนตัว                                  2 เท่า                  2 เท่า
8          ปัญหาเรื่องเพื่อน                                          2 เท่า                  2 เท่า
9          ปัญหาเรื่องงาน                                           2 เท่า                  2 เท่า

ตารางที่ 4 แสดงค่าร้อยละของตัวอย่างที่ระบุ เสียงสะท้อนต่อ รัฐบาลและผู้ใหญ่ในสังคม
ลำดับที่          ประเด็น                                                      ร้อยละ
1          ควรเพิ่มพื้นที่ที่จะส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีของเยาวชนไทย                        90.5
2          ควรปฏิรูปเศรษฐกิจ                                                  83.6
3          ควรปฏิรูปสังคม                                                     83.3
4          ขจัดพื้นที่เสี่ยงทำลายคุณภาพของเยาวชนไทย เช่น สถานบันเทิง บ่อนพนัน           82.6
5          ควรปฏิรูปการเมือง                                                  73.0
6          ประชาชนต้องมีอิสระ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น                        71.4
7          มีการแบ่งพรรคแบ่งพวกมากเกินไป ไม่รู้จักให้อภัย ไม่มีน้ำใจต่อกัน                68.4
8          นักการเมืองเป็นตัวอย่างไม่ดี ยึดถือประโยชน์ของตนเองเป็นส่วนใหญ่              68.1
9          ต้องการความเป็นประชาธิปไตยที่แข็งแกร่ง                                 66.9
10          ผู้ใหญ่เป็นตัวอย่างไม่ดี ใช้ความรุนแรงแก้ปัญหากัน                           64.5

--เอแบคโพลล์--

-พห-

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ