เอแบคโพลล์: สำรวจพฤติกรรมความเอาใจใส่ในการเก็บออมของคนไทยยุคปัจจุบันกรณีศึกษาประชาชนที่พักอาศัยในเขตกรุงเทพมหานคร

ข่าวผลสำรวจ Friday March 30, 2012 10:13 —เอแบคโพลล์

นางสาวปุณฑรีก์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเอแบคนวัตกรรมทางสังคม การจัดการและธุรกิจ (Social Innovation Management and Business Analysis, SIMBA) เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจเรื่อง สำรวจพฤติกรรมความเอาใจใส่ในการเก็บออมของคนไทยยุคปัจจุบัน กรณีศึกษาประชาชนที่พักอาศัยในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น 2,674 ตัวอย่าง ค่าความคลาดเคลื่อนบวกลบร้อยละ 7 ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 19 — 29 มีนาคม 2555 ที่ผ่านมา โดยผลสำรวจทั้งหมดนี้สามารถดึงข้อมูลได้ที่ www.abacpolldata.au.edu

ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่าในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาตัวอย่างส่วนใหญ่ เกือบ 3 ใน 4 หรือร้อยละ 72.0 ระบุไม่มีการแบ่งเงินไว้เก็บออม/ลงทุน โดยมีเหตุผลสำคัญคือผลกระทบจากภัยพิบัติน้ำท่วม รายจ่ายเพิ่มขึ้นแต่รายได้เท่าเดิมหรือลดลง นอกจากนี้ สภาวะเศรษฐกิจหน้าจอทีวีที่ว่าดีขึ้นไม่ตรงกับความเป็นจริงในสภาวะเศรษฐกิจของครัวเรือนและในกลุ่มที่มีรายได้สูงไม่ได้เก็บออมเพราะอิทธิพลของกลยุทธ์ทางการตลาดและแรงกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายของระบบทุนนิยม ขณะที่ตัวอย่าง ร้อยละ 28.0 ระบุเก็บออมเงินไว้ โดยเก็บออมเฉลี่ยอยู่ที่ 3,122 บาท/เดือน

ที่น่าพิจารณาคือ จากการวิจัยเอกสารเบื้องต้นพบว่า การที่จะมีสุขภาวะทางการเงินที่ดีจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ประชาชนทุกคนควรให้ความสำคัญ เพื่อความปลอดภัย และความมั่นคงทางการเงินในอนาคต (Financial Security) กล่าวคือ การมีเงินออมสำรองเลี้ยงชีพจากรายได้ต่อเดือน โดยหักไว้ประมาณ 20-30 เปอร์เซ็น ออมไว้สำหรับเป็นทุนสำรองในภาวะฉุกเฉิน หรือเป็นทุนสำหรับอนาคต การออมเงินตามทฤษฎีนี้มองดูแล้วเหมือนเป็นเรื่องง่ายๆ ที่ใครก็สามารถทำได้ แต่เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับกลยุทธ์ทางการตลาดของพ่อค้ายุคใหม่ที่พยายามออกมากระตุ้นเงินในกระเป๋าของผู้บริโภคให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย ทำให้ต้องคำนึงถึงการเก็บออมเงินของประชาชนคนไทย

การสำรวจในครั้งนี้จึงมุ่งเน้นศึกษาพฤติกรรมความเอาใจใส่ในการเก็บออมเงินของคนไทยยุคปัจจุบัน และความมั่นคงทางการเงิน เพื่อก่อให้เกิดความตระหนักในการเก็บออม และสะท้อนให้เห็นถึงความปลอดภัยของภาวะทางการเงินของคนไทยในประเทศ เมื่อถามถึงจำนวนเงินที่แบ่งไว้เพื่อการออมในแต่ละเดือนเพิ่มขึ้นหรือลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 11.4 ระบุเพิ่มขึ้น ร้อยละ 66.7 ระบุเท่าเดิม และร้อยละ 21.9 ระบุลดลง

ทั้งนี้ได้มีการถามถึงจำนวนเงินที่แบ่งไว้เพื่อการออมในแต่ละเดือน ในอีก 3 เดือนข้างหน้าต่อจากนี้ คุณคิดว่าจะมีการออมเพิ่มขึ้นหรือลดลง พบว่าตัวอย่างร้อยละ 22.6 ระบุมีการแบ่งเงินไว้ออมเพิ่มขึ้น ร้อยละ 63.5 ระบุเท่าเดิม และร้อยละ 13.9 ระบุลดลง ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าประชาชนยังไม่ตระหนักถึงภาวะการเก็บออมเงินเท่าที่ควร เพราะตัวอย่างส่วนใหญ่ยังไม่คิดที่จะเพิ่มจำนวนเงินเก็บออมในแต่ละเดือน และจากการสัมภาษณ์เชิงลึก พบว่าตัวอย่างส่วนใหญ่ คาดการณ์และพบเจอราคาสินค้าที่สูงขึ้น เป็นผลทำให้ต้องมีรายจ่ายเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่รายได้ยังเท่าเดิม หรืออาจจะลดลง ซึ่งประเด็นเหล่านี้อาจเป็นอุปสรรคต่อการออมเงินไว้ใช้ในอนาคตของประชาชน

สิ่งที่น่าพิจารณาต่อไป คือ รูปแบบการออมเงินหรือลงทุน จากผลสำรวจ 3 อันดับแรกพบว่า ตัวอย่างส่วนใหญ่เลือกออมเงินโดยฝากเงินกับธนาคาร รองลงมาคือ เลือกออมกับแผนการเงินในรูปแบบการทำประกัน และเลือกออมโดยการซื้อสลากออมสิน ตามลำดับ จากผลสำรวจจะเห็นได้ว่ารูปแบบการออมส่วนใหญ่เป็นการฝากเงินไว้กับธนาคาร ซึ่งจุดนี้สะท้อนให้เห็นถึงโอกาสของกลุ่มธนาคาร ในการสร้างกลยุทธ์ทางการตลาดที่สามารถกระตุ้นการออมเงินของประชาชนได้ เช่น การมีผลิตภัณฑ์เงินฝากที่หลากหลายและให้ดอกเบี้ยสูง การมีสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ จากการออมเงิน เป็นต้น

จากการพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ร้อยละ 60.7 เป็นเพศหญิง ร้อยละ 39.3 เป็นเพศชาย ทั้งนี้เมื่อพิจารณาจำแนกตามช่วงอายุพบว่า ร้อยละ 5.0 ระบุอายุ 18-24 ปี ร้อยละ 20.8 ระบุอายุ 25-35 ปี ร้อยละ 28.8 ระบุอายุ 36-45 ปี ร้อยละ 45.0 ระบุอายุ 46-60 ปี และร้อยละ 0.4 ระบุอายุ 60 ปีขึ้นไป ตัวอย่างร้อยละ 86.1 ระบุสำเร็จการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี ร้อยละ 13.9 ระบุสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป นอกจากนี้ ร้อยละ 40.5 ระบุอาชีพค้าขายประกอบกิจการส่วนตัว ร้อยละ 33.0 ระบุเป็นเกษตรกร /รับจ้างใช้แรงงาน ร้อยละ 8.7 ระบุเป็น แม่บ้าน/พ่อบ้านเกษียณอายุ ร้อยละ 8.5 ระบุเป็นพนักงานบริษัทเอกชน ร้อยละ 6.5 ระบุเป็นข้าราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 1.6 ระบุเป็นนักเรียน นักศึกษา ร้อยละ 1.2 ระบุว่างงานไม่ได้ประกอบอาชีพ

ตารางที่ 1 แสดงค่าร้อยละของตัวอย่างที่ระบุการออมเงินในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา
ลำดับที่          การออมเงินในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา                      ร้อยละ
1          เก็บออม โดยเก็บออมเฉลี่ยเท่ากับ  3,121.55 บาทต่อเดือน        28.0
2          ไม่มี                                                  72.0
          รวมทั้งสิ้น                                              100.0

ตารางที่ 2 แสดงค่าร้อยละของตัวอย่างที่ระบุการออมเงินในแต่ละเดือน เมื่อเปรียบเทียบช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา(ค่าร้อยละเฉพาะตัวอย่างที่ออมเงิน)
ลำดับที่          การออมเงินในแต่ละเดือน เปรียบเทียบช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา          ร้อยละ
1          เพิ่มขึ้น                                                             11.4
2          เท่าเดิม                                                            66.7
3          ลดลง                                                              21.9
          รวมทั้งสิ้น                                                           100.0

ตารางที่ 3 แสดงค่าร้อยละของตัวอย่างที่ระบุการออมในอีก 3 เดือนข้างหน้า
ลำดับที่          การออมในอีก 3 เดือนข้างหน้า                    ร้อยละ
1          เพิ่มขึ้น                                          22.6
2          เท่าเดิม                                         63.5
3          ลดลง                                           13.9
          รวมทั้งสิ้น                                        100.0

ตารางที่ 4 แสดงค่าร้อยละของตัวอย่างที่ระบุรูปแบบวิธีการออมเงินหรือลงทุน (เฉพาะตัวอย่างที่ออมเงิน และตอบได้มากกว่า 1 ข้อ)
ลำดับที่          รูปแบบการออมเงินหรือลงทุน               ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา       ในอีก 3 เดือนข้างหน้า
1          ฝากเงินกับธนาคาร                                   23.8                   23.4
2          แผนการเงินในรูปแบบการทำประกัน                        5.8                    4.6
3          ซื้อสลากออมสิน                                       4.5                    4.1
4          ซื้อสังหาริมทรัพย์ เช่น เพชร ทองคำ                       4.3                    4.1
5          ลงทุนผ่านกองทุนต่างๆ                                  1.4                    1.9
6          ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เช่น ที่ดิน บ้าน คอนโดมิเนียม          0.9                    1.5
7          ซื้อพันธบัตรรัฐบาล                                     0.7                    1.3
8          ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ (ซื้อหุ้น)                          0.5                    1.3

--เอแบคโพลล์--


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ