ที่มาของโครงการ
จากการที่ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร และรัฐมนตรีบางคนได้แสดงท่าทีสนใจซื้อหุ้น "ลิเวอร์พูล" ทีมฟุตบอลอังกฤษชื่อดังโดยนำหน่วยงานของรัฐบาลบางแห่งเข้าไปเกี่ยวข้อง ส่งผลให้มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ จึงได้ทำการสำรวจภาคสนามสอบถามความคิดเห็นของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลต่อท่าทีของรัฐบาลที่ในการซื้อหุ้นลิเวอร์พูล ด้วยการจัดส่งอาจารย์ เจ้าหน้าที่ และพนักงานเก็บรวบรวมข้อมูลลงพื้นที่ตัวอย่างที่ถูกสุ่มได้ตามหลักวิชาการด้านระเบียบวิธีวิจัยทางสังคมศาสตร์
วัตถุประสงค์และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการวิจัย
1. เพื่อสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วไปในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลต่อท่าทีของ รัฐบาล ในการซื้อหุ้นลิเวอร์พูล
2. เพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจศึกษาในหัวข้อเรื่องนี้อย่างลึกซึ้งต่อไป
ระเบียบวิธีวิจัย
โครงการสำรวจภาคสนามของสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ในครั้งนี้เรื่อง "ประชาชนคิดอย่างไรต่อท่าทีของรัฐบาลในการซื้อหุ้น "ลิเวอร์พูล" : กรณีศึกษาประชาชนทั่วไปในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล" ซึ่งดำเนินโครงการสำรวจระหว่างวันที่ 31 พฤษภาคม - 1 มิถุนายน 2547
ประเภทของการสำรวจวิจัยครั้งนี้คือ การวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research)
กลุ่มประชากรเป้าหมาย คือ ประชาชนทั่วไปในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
เทคนิควิธีการสุ่มตัวอย่าง ได้แก่ การสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่มเชิงชั้นภูมิ (Stratified Cluster Sampling) ในการสุ่มเลือกพื้นที่ตัวอย่าง ในการเข้าถึงตัวอย่าง
ขนาดตัวอย่างที่ทำการสำรวจ คือ 1,226 ตัวอย่าง
ช่วงความเชื่อมั่นอยู่ในระดับร้อยละ 95 ขณะที่ขอบเขตความคลาดเคลื่อนจากการกำหนดขนาดตัวอย่างอยู่ที่ +/- ร้อยละ 5
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือ แบบสอบถาม
วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลคือ การสัมภาษณ์
หลังจากนั้นคณะผู้วิจัยได้ตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ของแบบสอบถามทุกชุดก่อนนำเข้าวิเคราะห์ข้อมูลและงบประมาณเป็นของมหาวิทยาลัย
ลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง
จากการพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่างร้อยละ 53.8 เป็นหญิง ในขณะที่ร้อยละ 46.2 เป็นชาย ซึ่งกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 6.9 อายุต่ำกว่า 20 ปี ร้อยละ 30.1 อายุระหว่าง 20-29 ปี ร้อยละ 32.4 อายุระหว่าง 30-39 ปี ร้อยละ 12.9 อายุระหว่าง 40-49 ปี และร้อยละ 17.7 อายุ 50 ปีขึ้นไป ตัวอย่างร้อยละ 73.0 ระบุสำเร็จการศึกษา ต่ำกว่าระดับปริญญาตรี ร้อยละ 22.7 ระบุสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี และร้อยละ 4.3 ระบุสำเร็จการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี นอกจากนี้ กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 29.3 ระบุอาชีพค้าขายส่วนตัว ร้อยละ 21.4 รับจ้างทั่วไป ร้อยละ 19.9 เป็นพนักงานบริษัทเอกชน ร้อยละ 10.1 รับราชการ / พนักงานรัฐวิสาหกิจร้อยละ 8.9 เป็นนักศึกษา ในขณะที่ร้อยละ 10.4 ระบุอื่นๆ อาทิ แม่บ้าน เกียษณอายุ และไม่ได้ประกอบอาชีพ เป็นต้น
โปรดพิจารณาประเด็นสำคัญที่ค้นพบในตารางต่อไปนี้
ตารางที่ 1 แสดงค่าร้อยละของตัวอย่างที่ระบุ การรับรู้ข่าวที่นายกรัฐมนตรีสนใจซื้อหุ้น "ลิเวอร์พูล" ทีมฟุตบอลดัง
ของประเทศอังกฤษ เปรียบเทียบผลสำรวจระหว่างวันที่ 9 - 10 พ.ค. กับ 31 พ.ค. - 1 มิ.ย.
ลำดับที่ การรับรู้ต่อข่าวซื้อหุ้น "ลิเวอร์พูล" 9 - 10 พ.ค. 31 พ.ค. - 1 มิ.ย. การเปลี่ยนแปลง
1 ทราบ 41.9 91.3 เพิ่มขึ้น 49.4%
2 ไม่ทราบ 58.1 8.7 ลดลง 49.4%
รวมทั้งสิ้น 100.0 100.0
ตารางที่ 2 แสดงค่าร้อยละของตัวอย่างที่ระบุ ความคิดเห็นต่อประเด็นที่ว่า การซื้อหุ้น "ลิเวอร์พูล" ทีมฟุตบอลดัง
ของประเทศอังกฤษ จะสามารถพัฒนาการกีฬาฟุตบอลไทยให้ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น
ลำดับที่ ความเห็นของกลุ่มตัวอย่าง 9 - 10 พ.ค. 31 พ.ค. - 1 มิ.ย. การเปลี่ยนแปลง
1 เห็นด้วย 47.8 32.8 ลดลง 15.0%
2 ไม่เห็นด้วย 20.8 47.9 เพิ่มขึ้น 27.1%
3 ไม่มีความเห็น 31.4 19.3 ลดลง 12.1%
รวมทั้งสิ้น 100.0 100.0
ตารางที่ 3 แสดงค่าร้อยละของตัวอย่างที่ระบุ ความคิดเห็นต่อประเด็นที่ว่า การพัฒนากีฬาฟุตบอลไทยหลังจาก
การซื้อหุ้น "ลิเวอร์พูล" ทีมฟุตบอลดังของประเทศอังกฤษ จะทำให้เยาวชนห่างไกลยาเสพติด
ลำดับที่ ความเห็นของกลุ่มตัวอย่าง 9 - 10 พ.ค. 31 พ.ค. - 1 มิ.ย. การเปลี่ยนแปลง
1 เห็นด้วย 62.5 37.3 ลดลง 25.2%
2 ไม่เห็นด้วย 25.1 51.4 เพิ่มขึ้น 26.3%
3 ไม่มีความเห็น 12.4 11.3 ลดลง 1.1%
รวมทั้งสิ้น 100.0 100.0
ตารางที่ 4 แสดงค่าร้อยละของตัวอย่างที่ระบุ ความกังวลต่อการเล่นพนันฟุตบอลในกลุ่มวัยรุ่น หลังจากการซื้อหุ้น
ลำดับที่ ความเห็นของกลุ่มตัวอย่าง 9 - 10 พ.ค. 31 พ.ค. - 1 มิ.ย. การเปลี่ยนแปลง
1 กังวลว่าจะมีปัญหาพนันบอลระบาดมากขึ้น 57.8 74.7 เพิ่มขึ้น 16.9%
2 ไม่กังวล 23.9 13.4 ลดลง 10.5%
3 ไม่มีความเห็น 18.3 11.9 ลดลง 6.4%
รวมทั้งสิ้น 100.0 100.0
ตารางที่ 5 แสดงค่าร้อยละของตัวอย่างที่ระบุ ทัศนคติต่อแนวทางของรัฐบาลที่จะใช้หน่วยงานของรัฐ
ในการประสานการซื้อขายหุ้นลิเวอร์พูล
ลำดับที่ ความเห็นของกลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ
1 เห็นด้วย 16.9
2 ไม่เห็นด้วย 73.8
3 ไม่มีความเห็น 9.3
รวมทั้งสิ้น 100.0
ตารางที่ 6 แสดงค่าร้อยละของตัวอย่างที่ระบุ ทัศนคติต่อแนวทางของรัฐบาลที่จะออกสลากพิเศษ "ลิเวอร์พูล"
ขายให้ประชาชน
ลำดับที่ ความเห็นของกลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ
1 เห็นด้วย 14.6
2 ไม่เห็นด้วย 70.2
3 ไม่มีความเห็น 15.2
รวมทั้งสิ้น 100.0
เหตุผลที่ไม่เห็นด้วย คือ
1. เป็นการมอมเมาประชาชน
2. เป็นการสนับสนุนให้เกิดปัญหาอบายมุขมากขึ้นในประเทศ
3. ประชาชนจะเป็นหนี้มากขึ้น
4. เกิดปัญหาอาชญากรรมอื่นๆ ตามมา อาทิ การจี้ปล้น พนันบอล ค้ายาเสพติด เป็นต้น
5. อื่นๆ อาทิ ทำให้ประชาชนมีนิสัยไม่เหมาะสม ชอบเล่นเสี่ยงทายพนัน ขาดความรับผิดชอบต่อหน้าที่การงาน
และปัญหาครอบครัว เป็นต้น
เหตุผลที่เห็นด้วยคือ
1. เปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปมีส่วนร่วม
2. ทำให้เกิดการระดมทุนขนาดใหญ่
3. อื่นๆ อาทิ แสดงศักยภาพของคนไทยในการเป็นเจ้าของ ลิเวอร์พูล ช่วยทำให้รัฐบาลมีผลงานมากขึ้น
ช่วยทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น เป็นต้น
ตารางที่ 7 แสดงค่าร้อยละของตัวอย่างที่ระบุ ความคิดเห็นต่อ พล.ต.จำลอง ที่ยื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรี
เพื่อคัดค้านการออกสลากพิเศษ "หุ้นลิเวอร์พูล" ของรัฐบาล
ลำดับที่ ความเห็นของกลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ
1 เห็นด้วย 73.8
2 ไม่เห็นด้วย 16.5
3 ไม่มีความเห็น 9.7
รวมทั้งสิ้น 100.0
ตารางที่ 8 แสดงค่าร้อยละของตัวอย่างที่ระบุ ข้อเสนอแนะต่อนายกรัฐมนตรีในกรณีที่สนใจซื้อหุ้น "ลิเวอร์พูล"
(ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ)
ลำดับที่ ข้อเสนอแนะของกลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ
1 ควรใช้เงินส่วนตัวของนายกรัฐมนตรีและคนใกล้ชิดทำประโยชน์ให้กับประเทศ 68.9
2 ควรทบทวนความสนใจซื้อหุ้น ลิเวอร์พูล 53.2
3 ควรให้ความสำคัญแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนด้านอื่นๆ อาทิ ราคาสินค้าสูงขึ้น
ความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ปัญหายาเสพติด ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นต้น 48.7
4 ระวังบุคคลใกล้ชิดจะทำให้เกิดปัญหาภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อนายกรัฐมนตรี 44.0
5 อื่นๆ อาทิ ควรยกเลิกความสนใจซื้อหุ้น ลิเวอร์พูล ควรศึกษาผลดีผลเสียก่อน 37.6
บทสรุปผลสำรวจ
ศ.ดร. ศรีศักดิ์ จามรมาน ประธานสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ได้เปิดเผยว่าผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง "ประชาชนคิดอย่างไรต่อท่าทีของรัฐบาลในการซื้อหุ้น "ลิเวอร์พูล" : กรณีศึกษาประชาชน ทั่วไปในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล" ซึ่งดำเนินโครงการสำรวจระหว่างวันที่ 31 พฤษภาคม - 1 มิถุนายน 2547 โดยมีขนาดตัวอย่างรวมทั้งสิ้น 1,226 ตัวอย่าง ซึ่งผลการสำรวจค้นพบประเด็นสำคัญที่น่าพิจารณาดังต่อไปนี้ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่หรือร้อยละ 91.3 ทราบข่าวว่ารัฐบาลสนใจซื้อหุ้นลิเวอร์พูล ทีมฟุตบอลดังของอังกฤษ ซึ่งเป็นสัดส่วนที่เพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 49.4 จากการสำรวจเมื่อตอนต้นเดือนพฤษภาคม มีเพียงร้อยละ 8.7 ที่ไม่ทราบข่าว
แต่ประเด็นที่น่าพิจารณาคือ สัดส่วนของตัวอย่างที่เห็นด้วยว่า การซื้อหุ้นลิเวอร์พูลจะสามารถพัฒนากีฬาฟุตบอลไทยให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นนั้น ลดลงจากร้อยละ 47.8 ในการสำรวจครั้งก่อน เหลือร้อยละ 32.8 ในการสำรวจครั้งล่าสุดนี้
นอกจากนี้ กลุ่มตัวอย่างที่เห็นด้วยว่าการซื้อหุ้นลิเวอร์พูลจะช่วยทำให้เยาวชนห่างไกลยาเสพติด ลดลงจากร้อยละ 62.5 ในการสำรวจครั้งก่อนเหลือร้อยละ 37.3 ในการสำรวจครั้งล่าสุด ซึ่งในการสำรวจครั้งล่าสุดนี้พบว่าตัวอย่างเกินกว่าครึ่งหรือร้อยละ 51.4 ไม่เห็นด้วยว่าการซื้อหุ้นลิเวอร์พูลจะช่วยทำให้เยาวชนห่างไกลยาเสพติด
ในทางตรงกันข้าม ตัวอย่างส่วนใหญ่หรือร้อยละ 74.7 กลับกังวลว่าการซื้อหุ้นลิเวอร์พูลจะทำให้เกิดการเล่นพนันฟุตบอลมากขึ้นในกลุ่มวัยรุ่น มีเพียงร้อยละ 13.4 เท่านั้นที่ไม่กังวล
เมื่อสอบถามทัศนคติของตัวอย่างต่อแนวทางของรัฐบาลที่จะใช้หน่วยงานของรัฐประสานการซื้อหุ้น ลิเวอร์พูล ผลสำรวจพบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 73.8 ไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลจะใช้หน่วยงานของรัฐ ในขณะที่ ร้อยละ 16.9 เห็นด้วย และร้อยละ 9.3 ไม่มีความเห็น
ยิ่งไปกว่านั้น กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่หรือร้อยละ 70.2 ไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลจะออกสลากพิเศษ ลิเวอร์พูล ขายให้กับประชาชน โดยให้เหตุผลว่า เป็นการมอมเมาประชาชน เป็นการสนับสนุนให้เกิดปัญหาอบายมุขมากขึ้นในประเทศ ประชาชนจะเป็นหนี้มากขึ้น จะเกิดปัญหาอาชญากรรมอื่นๆ ตามมา อาทิ การจี้ปล้น พนันบอล ค้ายาเสพติด เป็นต้น และอื่นๆ อาทิ ทำให้ประชาชนมีนิสัยไม่เหมาะสม ชอบเล่นเสี่ยงทายพนัน ขาดความรับผิดชอบต่อหน้าที่การงาน และปัญหาครอบครัวจะตามมา เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ร้อยละ 14.6 ของตัวอย่างทั้งหมด ระบุเห็นด้วย โดยให้เหตุผลว่า เปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปมีส่วนร่วม ทำให้เกิดการระดมทุนขนาดใหญ่ และอื่นๆ อาทิ แสดงศักยภาพของคนไทยในการเป็นเจ้าของลิเวอร์พูล ช่วยทำให้รัฐบาลมีผลงานมากขึ้น และช่วยทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น เป็นต้น
เมื่อสอบถามความคิดเห็นต่อ พล.ต.จำลอง ที่ยื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อคัดค้านการออกสลากพิเศษลิเวอร์พูล ของรัฐบาลนั้น ผลสำรวจพบว่า ตัวอย่างส่วนใหญ่หรือร้อยละ 73.8 เห็นด้วย ในขณที่ร้อยละ 16.5 ไม่เห็นด้วย และร้อยละ 9.7 ไม่มีความเห็น
ประเด็นสุดท้ายที่น่าพิจารณาคือ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่หรือร้อยละ 68.9 เสนอแนะต่อนายกรัฐมนตรีว่าควรใช้เงินส่วนตัวและคนใกล้ชิดทำประโยชน์ให้กับประเทศ ร้อยละ 53.2 ระบุควรทบทวนความสนใจซื้อหุ้น ลิเวอร์พูล ร้อยละ 48.7 ระบุควรให้ความสำคัญแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนด้านอื่นๆ แทน อาทิ ราคาสินค้าสูงขึ้น ความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ปัญหายาเสพติดกลับมา ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นต้น ร้อยละ 44.0 ระบุ นายกรัฐมนตรีควรระวังบุคคลใกล้ชิดจะทำให้เกิดปัญหาภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อนายก รัฐมนตรี และร้อยละ 37.6 ระบุอื่นๆ เช่น ควรยกเลิกความสนใจซื้อหุ้นลิเวอร์พูล ควรศึกษาผลดีผลเสียก่อน เป็นต้น
--เอแบคโพลล์--
-พห-
จากการที่ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร และรัฐมนตรีบางคนได้แสดงท่าทีสนใจซื้อหุ้น "ลิเวอร์พูล" ทีมฟุตบอลอังกฤษชื่อดังโดยนำหน่วยงานของรัฐบาลบางแห่งเข้าไปเกี่ยวข้อง ส่งผลให้มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ จึงได้ทำการสำรวจภาคสนามสอบถามความคิดเห็นของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลต่อท่าทีของรัฐบาลที่ในการซื้อหุ้นลิเวอร์พูล ด้วยการจัดส่งอาจารย์ เจ้าหน้าที่ และพนักงานเก็บรวบรวมข้อมูลลงพื้นที่ตัวอย่างที่ถูกสุ่มได้ตามหลักวิชาการด้านระเบียบวิธีวิจัยทางสังคมศาสตร์
วัตถุประสงค์และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการวิจัย
1. เพื่อสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วไปในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลต่อท่าทีของ รัฐบาล ในการซื้อหุ้นลิเวอร์พูล
2. เพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจศึกษาในหัวข้อเรื่องนี้อย่างลึกซึ้งต่อไป
ระเบียบวิธีวิจัย
โครงการสำรวจภาคสนามของสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ในครั้งนี้เรื่อง "ประชาชนคิดอย่างไรต่อท่าทีของรัฐบาลในการซื้อหุ้น "ลิเวอร์พูล" : กรณีศึกษาประชาชนทั่วไปในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล" ซึ่งดำเนินโครงการสำรวจระหว่างวันที่ 31 พฤษภาคม - 1 มิถุนายน 2547
ประเภทของการสำรวจวิจัยครั้งนี้คือ การวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research)
กลุ่มประชากรเป้าหมาย คือ ประชาชนทั่วไปในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
เทคนิควิธีการสุ่มตัวอย่าง ได้แก่ การสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่มเชิงชั้นภูมิ (Stratified Cluster Sampling) ในการสุ่มเลือกพื้นที่ตัวอย่าง ในการเข้าถึงตัวอย่าง
ขนาดตัวอย่างที่ทำการสำรวจ คือ 1,226 ตัวอย่าง
ช่วงความเชื่อมั่นอยู่ในระดับร้อยละ 95 ขณะที่ขอบเขตความคลาดเคลื่อนจากการกำหนดขนาดตัวอย่างอยู่ที่ +/- ร้อยละ 5
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือ แบบสอบถาม
วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลคือ การสัมภาษณ์
หลังจากนั้นคณะผู้วิจัยได้ตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ของแบบสอบถามทุกชุดก่อนนำเข้าวิเคราะห์ข้อมูลและงบประมาณเป็นของมหาวิทยาลัย
ลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง
จากการพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่างร้อยละ 53.8 เป็นหญิง ในขณะที่ร้อยละ 46.2 เป็นชาย ซึ่งกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 6.9 อายุต่ำกว่า 20 ปี ร้อยละ 30.1 อายุระหว่าง 20-29 ปี ร้อยละ 32.4 อายุระหว่าง 30-39 ปี ร้อยละ 12.9 อายุระหว่าง 40-49 ปี และร้อยละ 17.7 อายุ 50 ปีขึ้นไป ตัวอย่างร้อยละ 73.0 ระบุสำเร็จการศึกษา ต่ำกว่าระดับปริญญาตรี ร้อยละ 22.7 ระบุสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี และร้อยละ 4.3 ระบุสำเร็จการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี นอกจากนี้ กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 29.3 ระบุอาชีพค้าขายส่วนตัว ร้อยละ 21.4 รับจ้างทั่วไป ร้อยละ 19.9 เป็นพนักงานบริษัทเอกชน ร้อยละ 10.1 รับราชการ / พนักงานรัฐวิสาหกิจร้อยละ 8.9 เป็นนักศึกษา ในขณะที่ร้อยละ 10.4 ระบุอื่นๆ อาทิ แม่บ้าน เกียษณอายุ และไม่ได้ประกอบอาชีพ เป็นต้น
โปรดพิจารณาประเด็นสำคัญที่ค้นพบในตารางต่อไปนี้
ตารางที่ 1 แสดงค่าร้อยละของตัวอย่างที่ระบุ การรับรู้ข่าวที่นายกรัฐมนตรีสนใจซื้อหุ้น "ลิเวอร์พูล" ทีมฟุตบอลดัง
ของประเทศอังกฤษ เปรียบเทียบผลสำรวจระหว่างวันที่ 9 - 10 พ.ค. กับ 31 พ.ค. - 1 มิ.ย.
ลำดับที่ การรับรู้ต่อข่าวซื้อหุ้น "ลิเวอร์พูล" 9 - 10 พ.ค. 31 พ.ค. - 1 มิ.ย. การเปลี่ยนแปลง
1 ทราบ 41.9 91.3 เพิ่มขึ้น 49.4%
2 ไม่ทราบ 58.1 8.7 ลดลง 49.4%
รวมทั้งสิ้น 100.0 100.0
ตารางที่ 2 แสดงค่าร้อยละของตัวอย่างที่ระบุ ความคิดเห็นต่อประเด็นที่ว่า การซื้อหุ้น "ลิเวอร์พูล" ทีมฟุตบอลดัง
ของประเทศอังกฤษ จะสามารถพัฒนาการกีฬาฟุตบอลไทยให้ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น
ลำดับที่ ความเห็นของกลุ่มตัวอย่าง 9 - 10 พ.ค. 31 พ.ค. - 1 มิ.ย. การเปลี่ยนแปลง
1 เห็นด้วย 47.8 32.8 ลดลง 15.0%
2 ไม่เห็นด้วย 20.8 47.9 เพิ่มขึ้น 27.1%
3 ไม่มีความเห็น 31.4 19.3 ลดลง 12.1%
รวมทั้งสิ้น 100.0 100.0
ตารางที่ 3 แสดงค่าร้อยละของตัวอย่างที่ระบุ ความคิดเห็นต่อประเด็นที่ว่า การพัฒนากีฬาฟุตบอลไทยหลังจาก
การซื้อหุ้น "ลิเวอร์พูล" ทีมฟุตบอลดังของประเทศอังกฤษ จะทำให้เยาวชนห่างไกลยาเสพติด
ลำดับที่ ความเห็นของกลุ่มตัวอย่าง 9 - 10 พ.ค. 31 พ.ค. - 1 มิ.ย. การเปลี่ยนแปลง
1 เห็นด้วย 62.5 37.3 ลดลง 25.2%
2 ไม่เห็นด้วย 25.1 51.4 เพิ่มขึ้น 26.3%
3 ไม่มีความเห็น 12.4 11.3 ลดลง 1.1%
รวมทั้งสิ้น 100.0 100.0
ตารางที่ 4 แสดงค่าร้อยละของตัวอย่างที่ระบุ ความกังวลต่อการเล่นพนันฟุตบอลในกลุ่มวัยรุ่น หลังจากการซื้อหุ้น
ลำดับที่ ความเห็นของกลุ่มตัวอย่าง 9 - 10 พ.ค. 31 พ.ค. - 1 มิ.ย. การเปลี่ยนแปลง
1 กังวลว่าจะมีปัญหาพนันบอลระบาดมากขึ้น 57.8 74.7 เพิ่มขึ้น 16.9%
2 ไม่กังวล 23.9 13.4 ลดลง 10.5%
3 ไม่มีความเห็น 18.3 11.9 ลดลง 6.4%
รวมทั้งสิ้น 100.0 100.0
ตารางที่ 5 แสดงค่าร้อยละของตัวอย่างที่ระบุ ทัศนคติต่อแนวทางของรัฐบาลที่จะใช้หน่วยงานของรัฐ
ในการประสานการซื้อขายหุ้นลิเวอร์พูล
ลำดับที่ ความเห็นของกลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ
1 เห็นด้วย 16.9
2 ไม่เห็นด้วย 73.8
3 ไม่มีความเห็น 9.3
รวมทั้งสิ้น 100.0
ตารางที่ 6 แสดงค่าร้อยละของตัวอย่างที่ระบุ ทัศนคติต่อแนวทางของรัฐบาลที่จะออกสลากพิเศษ "ลิเวอร์พูล"
ขายให้ประชาชน
ลำดับที่ ความเห็นของกลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ
1 เห็นด้วย 14.6
2 ไม่เห็นด้วย 70.2
3 ไม่มีความเห็น 15.2
รวมทั้งสิ้น 100.0
เหตุผลที่ไม่เห็นด้วย คือ
1. เป็นการมอมเมาประชาชน
2. เป็นการสนับสนุนให้เกิดปัญหาอบายมุขมากขึ้นในประเทศ
3. ประชาชนจะเป็นหนี้มากขึ้น
4. เกิดปัญหาอาชญากรรมอื่นๆ ตามมา อาทิ การจี้ปล้น พนันบอล ค้ายาเสพติด เป็นต้น
5. อื่นๆ อาทิ ทำให้ประชาชนมีนิสัยไม่เหมาะสม ชอบเล่นเสี่ยงทายพนัน ขาดความรับผิดชอบต่อหน้าที่การงาน
และปัญหาครอบครัว เป็นต้น
เหตุผลที่เห็นด้วยคือ
1. เปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปมีส่วนร่วม
2. ทำให้เกิดการระดมทุนขนาดใหญ่
3. อื่นๆ อาทิ แสดงศักยภาพของคนไทยในการเป็นเจ้าของ ลิเวอร์พูล ช่วยทำให้รัฐบาลมีผลงานมากขึ้น
ช่วยทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น เป็นต้น
ตารางที่ 7 แสดงค่าร้อยละของตัวอย่างที่ระบุ ความคิดเห็นต่อ พล.ต.จำลอง ที่ยื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรี
เพื่อคัดค้านการออกสลากพิเศษ "หุ้นลิเวอร์พูล" ของรัฐบาล
ลำดับที่ ความเห็นของกลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ
1 เห็นด้วย 73.8
2 ไม่เห็นด้วย 16.5
3 ไม่มีความเห็น 9.7
รวมทั้งสิ้น 100.0
ตารางที่ 8 แสดงค่าร้อยละของตัวอย่างที่ระบุ ข้อเสนอแนะต่อนายกรัฐมนตรีในกรณีที่สนใจซื้อหุ้น "ลิเวอร์พูล"
(ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ)
ลำดับที่ ข้อเสนอแนะของกลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ
1 ควรใช้เงินส่วนตัวของนายกรัฐมนตรีและคนใกล้ชิดทำประโยชน์ให้กับประเทศ 68.9
2 ควรทบทวนความสนใจซื้อหุ้น ลิเวอร์พูล 53.2
3 ควรให้ความสำคัญแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนด้านอื่นๆ อาทิ ราคาสินค้าสูงขึ้น
ความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ปัญหายาเสพติด ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นต้น 48.7
4 ระวังบุคคลใกล้ชิดจะทำให้เกิดปัญหาภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อนายกรัฐมนตรี 44.0
5 อื่นๆ อาทิ ควรยกเลิกความสนใจซื้อหุ้น ลิเวอร์พูล ควรศึกษาผลดีผลเสียก่อน 37.6
บทสรุปผลสำรวจ
ศ.ดร. ศรีศักดิ์ จามรมาน ประธานสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ได้เปิดเผยว่าผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง "ประชาชนคิดอย่างไรต่อท่าทีของรัฐบาลในการซื้อหุ้น "ลิเวอร์พูล" : กรณีศึกษาประชาชน ทั่วไปในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล" ซึ่งดำเนินโครงการสำรวจระหว่างวันที่ 31 พฤษภาคม - 1 มิถุนายน 2547 โดยมีขนาดตัวอย่างรวมทั้งสิ้น 1,226 ตัวอย่าง ซึ่งผลการสำรวจค้นพบประเด็นสำคัญที่น่าพิจารณาดังต่อไปนี้ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่หรือร้อยละ 91.3 ทราบข่าวว่ารัฐบาลสนใจซื้อหุ้นลิเวอร์พูล ทีมฟุตบอลดังของอังกฤษ ซึ่งเป็นสัดส่วนที่เพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 49.4 จากการสำรวจเมื่อตอนต้นเดือนพฤษภาคม มีเพียงร้อยละ 8.7 ที่ไม่ทราบข่าว
แต่ประเด็นที่น่าพิจารณาคือ สัดส่วนของตัวอย่างที่เห็นด้วยว่า การซื้อหุ้นลิเวอร์พูลจะสามารถพัฒนากีฬาฟุตบอลไทยให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นนั้น ลดลงจากร้อยละ 47.8 ในการสำรวจครั้งก่อน เหลือร้อยละ 32.8 ในการสำรวจครั้งล่าสุดนี้
นอกจากนี้ กลุ่มตัวอย่างที่เห็นด้วยว่าการซื้อหุ้นลิเวอร์พูลจะช่วยทำให้เยาวชนห่างไกลยาเสพติด ลดลงจากร้อยละ 62.5 ในการสำรวจครั้งก่อนเหลือร้อยละ 37.3 ในการสำรวจครั้งล่าสุด ซึ่งในการสำรวจครั้งล่าสุดนี้พบว่าตัวอย่างเกินกว่าครึ่งหรือร้อยละ 51.4 ไม่เห็นด้วยว่าการซื้อหุ้นลิเวอร์พูลจะช่วยทำให้เยาวชนห่างไกลยาเสพติด
ในทางตรงกันข้าม ตัวอย่างส่วนใหญ่หรือร้อยละ 74.7 กลับกังวลว่าการซื้อหุ้นลิเวอร์พูลจะทำให้เกิดการเล่นพนันฟุตบอลมากขึ้นในกลุ่มวัยรุ่น มีเพียงร้อยละ 13.4 เท่านั้นที่ไม่กังวล
เมื่อสอบถามทัศนคติของตัวอย่างต่อแนวทางของรัฐบาลที่จะใช้หน่วยงานของรัฐประสานการซื้อหุ้น ลิเวอร์พูล ผลสำรวจพบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 73.8 ไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลจะใช้หน่วยงานของรัฐ ในขณะที่ ร้อยละ 16.9 เห็นด้วย และร้อยละ 9.3 ไม่มีความเห็น
ยิ่งไปกว่านั้น กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่หรือร้อยละ 70.2 ไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลจะออกสลากพิเศษ ลิเวอร์พูล ขายให้กับประชาชน โดยให้เหตุผลว่า เป็นการมอมเมาประชาชน เป็นการสนับสนุนให้เกิดปัญหาอบายมุขมากขึ้นในประเทศ ประชาชนจะเป็นหนี้มากขึ้น จะเกิดปัญหาอาชญากรรมอื่นๆ ตามมา อาทิ การจี้ปล้น พนันบอล ค้ายาเสพติด เป็นต้น และอื่นๆ อาทิ ทำให้ประชาชนมีนิสัยไม่เหมาะสม ชอบเล่นเสี่ยงทายพนัน ขาดความรับผิดชอบต่อหน้าที่การงาน และปัญหาครอบครัวจะตามมา เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ร้อยละ 14.6 ของตัวอย่างทั้งหมด ระบุเห็นด้วย โดยให้เหตุผลว่า เปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปมีส่วนร่วม ทำให้เกิดการระดมทุนขนาดใหญ่ และอื่นๆ อาทิ แสดงศักยภาพของคนไทยในการเป็นเจ้าของลิเวอร์พูล ช่วยทำให้รัฐบาลมีผลงานมากขึ้น และช่วยทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น เป็นต้น
เมื่อสอบถามความคิดเห็นต่อ พล.ต.จำลอง ที่ยื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อคัดค้านการออกสลากพิเศษลิเวอร์พูล ของรัฐบาลนั้น ผลสำรวจพบว่า ตัวอย่างส่วนใหญ่หรือร้อยละ 73.8 เห็นด้วย ในขณที่ร้อยละ 16.5 ไม่เห็นด้วย และร้อยละ 9.7 ไม่มีความเห็น
ประเด็นสุดท้ายที่น่าพิจารณาคือ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่หรือร้อยละ 68.9 เสนอแนะต่อนายกรัฐมนตรีว่าควรใช้เงินส่วนตัวและคนใกล้ชิดทำประโยชน์ให้กับประเทศ ร้อยละ 53.2 ระบุควรทบทวนความสนใจซื้อหุ้น ลิเวอร์พูล ร้อยละ 48.7 ระบุควรให้ความสำคัญแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนด้านอื่นๆ แทน อาทิ ราคาสินค้าสูงขึ้น ความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ปัญหายาเสพติดกลับมา ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นต้น ร้อยละ 44.0 ระบุ นายกรัฐมนตรีควรระวังบุคคลใกล้ชิดจะทำให้เกิดปัญหาภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อนายก รัฐมนตรี และร้อยละ 37.6 ระบุอื่นๆ เช่น ควรยกเลิกความสนใจซื้อหุ้นลิเวอร์พูล ควรศึกษาผลดีผลเสียก่อน เป็นต้น
--เอแบคโพลล์--
-พห-