ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลสำรวจภาคสนามเรื่อง ผลดีผลเสียของการยุบ
พรรคการเมืองใหญ่ในสายตาสาธารณชน โดยเก็บข้อมูลจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลรวมทั้งสิ้น 1,156 ตัวอย่าง
ระหว่างวันที่ 27-28 มิถุนายนที่ผ่านมา
ผลสำรวจพบประชาชนส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 80 ติดตามข่าวการเมืองเป็นประจำ และเมื่อสอบถามถึงกรณีข่าวมติอัยการสูงสุดชี้มูลคดีให้ศาล
รัฐธรรมนูญยุบพรรคไทยรักไทยว่าจะมีผลดีอะไรบ้าง ผลสำรวจพบว่า ร้อยละ 31.4 ระบุเปิดโอกาสให้คนใหม่ๆ พรรคการเมืองใหม่เข้ามาทำงาน ร้อย
ละ 26.9 คิดว่านักการเมืองจะไม่กล้าทำผิดกฎหมายเสียเอง ร้อยละ 15.9 คิดว่าการทุจริตคอรัปชั่นจะลดลง ร้อยละ 12.3 คิดว่าปัญหาการเมืองจะ
หมดไป ร้อยละ 10.2 คิดว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น ร้อยละ 5.4 คิดว่าปัญหาความรุนแรงภาคใต้จะลดลง
ในขณะที่ผลเสียถ้ามีการยุบพรรคไทยรักไทย พบว่า ร้อยละ 37.0 เศรษฐกิจจะแย่ลง ร้อยละ 19.6 นโยบายรัฐบาลจะขาดความต่อ
เนื่อง ร้อยละ 15.8 สถานการณ์การเมืองจะวุ่นวาย ร้อยละ 12.8 คิดว่ายาเสพติดจะระบาดเพิ่มขึ้น ร้อยละ 8.3 คิดว่าปัญหาคนจนจะเพิ่มขึ้น ร้อย
ละ 8.1 ขาดคนเก่งบริหารประเทศ ร้อยละ 6.6 เสียเวลาและงบประมาณเลือกตั้งใหม และร้อยละ 4.7 คิดว่าต่างชาติจะไม่เชื่อมั่นต่อประเทศไทย
และเมื่อสอบถามถึงผลดีผลเสียจะเกิดขึ้นถ้ายุบพรรคไทยรักไทย พบว่า ร้อยละ 53.2 คิดว่าผลเสียจะมากกว่า ร้อยละ 22.6 คิดว่า
ผลดีจะมากกว่า และที่เหลือร้อยละ 24.2 ไม่มีความเห็น
เมื่อสอบถามถึงกรณีข่าวมติอัยการสูงสุดชี้มูลคดีให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคประชาธิปัตย์ว่าจะมีผลดีอะไรบ้าง พบว่า ร้อยละ 35.0 คิดว่า
สถานการณ์สงบลง ร้อยละ 31.0 คิดว่าจะเกิดการพัฒนาบุคลากรทางการเมืองที่ดีขึ้น ร้อยละ 16.4 คิดว่าจะไม่มีการก่อกวนทางการเมือง ร้อยละ
11.9 คิดว่าพรรคไทยรักไทยจะหมดคู่แข่ง ร้อยละ 6.2 คิดว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น เป็นต้น
ในขณะที่ผลเสียถ้ายุบพรรคประชาธิปัตย์ พบว่า ร้อยละ 35.0 คิดว่าจะขาดฝ่ายค้านที่ดี ขาดการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลที่เข้มข้น
ร้อยละ 13.2 คิดว่าการเมืองจะไม่มีเสถียรภาพ ร้อยละ 12.6 คิดว่าสถานการณ์การเมืองจะวุ่นวาย ร้อยละ 10.5 คิดว่าไม่มีพรรคใหญ่ให้ประชาชน
เลือก ร้อยละ 9.7 ปัญหาภาคใต้จะรุนแรงมากขึ้น ร้อยละ 9.2 คิดว่าปัญหาคอรัปชั่นจะสูงขึ้น ร้อยละ 8.1 คิดว่าสังคมจะแตกแยกและร้อยละ 8.1
เช่นกันคิดว่าคะแนนโนโหวตจะสูงขึ้น
เมื่อสอบถามถึงผลดีผลเสียถ้ายุบพรรคประชาธิปัตย์ พบว่า ร้อยละ 35.5 จะเกิดผลเสียมากกว่า ร้อยละ 27.0 คิดว่าจะเกิดผลดี
มากกว่า และร้อยละ 37.5 ไม่มีความเห็น
ดร.นพดล กล่าวต่อว่า ประเด็นที่น่าพิจารณาคือ เมื่อถามถึงผลดีถ้ามีการยุบทั้งไทยรักไทยและประชาธิปัตย์ พบว่า ร้อยละ 58.4 คิดว่าจะ
เกิดพรรคการเมืองใหม่ๆ ขึ้น ร้อยละ 29.8 คิดว่านักการเมืองจะไม่กล้าทำผิดกฎหมายเสียเอง ร้อยละ12.6 คิดว่าคุณธรรมจริยธรรมของนักการเมือง
จะสูงขึ้น ร้อยละ 8.6 คิดว่าจะทำให้การเมืองมีความชัดเจนขึ้น ร้อยละ 6.3 คิดว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น ร้อยละ 5.0 คิดว่าปัญหาคอรัปชั่นจะลดลง ตาม
ลำดับ
อย่างไรก็ตาม เมื่อสอบถามถึงผลเสียถ้ายุบทั้งสองพรรค พบว่า ร้อยละ 27.0 คิดว่าสังคมจะวุ่นวายแตกแยก ร้อยละ 25.2 คิดว่า
เศรษฐกิจจะหยุดชะงัก ร้อยละ 18.4 คิดว่าคะแนนโนโหวตไม่เลือกใครจะสูงขึ้น ร้อยละ 15.1 นโยบายรัฐบาลจะขาดความต่อเนื่อง ร้อยละ 12.4
คิดว่าจะเสียเวลาและงบประมาณ ร้อยละ 8.2 คิดว่าการเมืองจะไม่มีเสถียรภาพ ร้อยละ 3.9 พรรคการเมืองใหญ่จะหายไป และร้อยละ 6.2 ปัญหา
อื่นๆจะตามมาเช่น ยาเสพติด ความยากจน กลุ่มผู้มีอิทธิพลและปัญหาชายแดนภาคใต้
เมื่อสอบถามถึงผลดีผลเสียถ้ายุบทั้งสองพรรค พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 57.3 คิดว่าผลเสียจะมากกว่า ร้อยละ 14.9 คิดว่าผลดี
มากกว่า และที่เหลือร้อยละ 27.8 ไม่มีความเห็น
ดร.นพดล กล่าวต่อว่า ที่น่าพิจารณาคือ เมื่อถามว่าใครมีความเหมาะสมเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป พบว่า ร้อยละ 41.0 ระบุเป็น พ.ต.
ท.ทักษิณ ชินวัตร ร้อยละ 23.5 ระบุเป็น ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ร้อยละ 17.3 ระบุเป็นนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ร้อยละ 15.2 ระบุเป็นนาย
อภิรักษ์ โกษะโยธิน ร้อยละ 13.1 ระบุเป็นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ร้อยละ 4.9 ระบุนายบรรหาร ศิลปอาชา ร้อยละ 4.4 ระบุนายชวน หลีกภัย
ร้อยละ 2.9 ระบุนายศุภชัย พานิชภักดิ์ ร้อยละ 5.3 ระบุอื่นๆ เช่น นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่นับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พบข้อมูลที่น่าพิจารณาคือ ร้อยละ 38.4 ระบุเป็น ร.ต.อ.ปุ
ระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ร้อยละ 32.9 ระบุเป็นนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ร้อยละ 25.3 ระบุเป็น นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ร้อยละ 19.5 ระบุเป็นนาย
สุรเกียรติ์ เสถียรไทย ร้อยละ15.4 ระบุเป็นนายศุภชัย พานิชภักดิ์ ตามลำดับ
“ผลสำรวจครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า สาธารณชนที่ถูกศึกษาหวั่นเกรงความวุ่นวายแตกแยกทางสังคมที่อาจเกิดขึ้นตามมาหลังจากการยุบพรรคไทยรัก
ไทยและพรรคประชาธิปัตย์ไปพร้อมๆ กัน เพราะที่ผ่านมาสังคมการเมืองได้แบ่งประชาชนออกเป็นฝักเป็นฝ่ายอย่างชัดเจน ประชาชนที่สนับสนุนแต่ละฝ่าย
ต่างคาดหวังและมีอุดมการณ์ที่แรงกล้าคนละขั้ว การยุบพรรคการเมืองที่ประชาชนแต่ละกลุ่มให้ความหวังไว้อาจไม่ใช่ทางออกของวิกฤตการณ์ทางการ
เมืองขณะนี้” ดร.นพดล กล่าว
ดร.นพดล วิเคราะห์ว่า ดูจากผลวิจัยหลายโครงการที่ผ่านมาและความเป็นไปได้ในอนาคต พบว่า ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ ถอนตัวออกจาก
ระบบการเมือง โดยบอกให้ประชาชนที่สนับสนุนเข้าใจไม่เคลื่อนไหวรุนแรง การทำงานทางการเมืองของคนใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ อาจได้รับการสนับ
สนุนทั้งฝ่ายที่นิยมศรัทธา พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่แล้วและฝ่ายที่เคยต่อต้านอาจหันมาสนับสนุนพรรคได้ ซึ่งจากการสำรวจล่าสุดพบว่า ถ้าไม่มี พ.ต.ท.ทักษิณ
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีให้กับประชาชนทั่วไป และน่าจะเป็นผลดีต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ เพียงแต่คนในพรรคไทยรักไทย
ทั่วประเทศต้องสนับสนุน เพราะการทำโพลล์หลายครั้งที่ผ่านมานโยบายต่างๆ ของรัฐบาลได้รับการตอบรับจากประชาชนส่วนใหญ่อยู่ในระดับที่ดีหลาย
โครงการ เช่น หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ แก้ปัญหายาเสพติด โครงการสามสิบบาทรักษาทุกโรค และการปราบปรากลุ่มผู้มีอิทธิพล เป็นต้น
“อย่างไรก็ตาม ผลวิจัยหลายครั้งที่ผ่านมาชี้ให้เห็นเช่นกันว่า ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ (ถ้าสนใจลงแข่งขันทางการเมือง) กำลังได้
รับความสนใจจากประชาชนจำนวนมากเช่นกัน ยิ่งถ้าไม่มี พ.ต.ท.ทักษิณ แล้ว คนในเขตกรุงเทพมหานครและหัวเมืองใหญ่จำนวนมากอาจเทคะแนนให้
กับ ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ได้ แต่เชื่อว่าความนิยมต่อ ร.ต.อ.ปุระชัย ยังไม่แผ่กว้างไปยังประชาชนนอกเขตเทศบาล การแข่งขันทางการเมือง
ในอนาคต ถ้าสถานการณ์การเมืองกลับมาปกติและไม่มี พ.ต.ท.ทักษิณ และนายอภิสิทธิ์ หัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่ทั้งสอง รัฐบาลไทยที่จะเกิดขึ้นน่าจะ
ยังคงเป็นรัฐบาลพรรคไทยรักไทยแต่จะไม่ใช่รัฐบาลเสียงข้างมากเหมือนเดิม การทำงานของรัฐบาลไทยคงจะอยู่บนฐานของการทุ่มเทแก้ปัญหาเดือดร้อน
ของประชาชนอย่างแท้จริง และจะถูกตรวจสอบคุณธรรมจริยธรรมทางการเมืองอย่างเข้มข้น ถ้าพรรคเล็กพรรคน้อยไม่ไปยุบรวมกับพรรคใหญ่
เหมือนในอดีตที่ผ่านมา” ดร.นพดล กล่าว
ดร.นพดล วิเคราะห์ต่อว่า สังคมไทยจะสงบเรียบร้อยอย่างแน่นอน ถ้า สาธารณชนไม่มีความเคลือบแคลงสงสัยต่อคนใกล้ชิด พ.ต.ท.
ทักษิณ ในเรื่องการแสวงหาผลประโยชน์จากนโยบายของรัฐบาล ดังนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ จึงควรประกาศชี้แจงลดข้อสงสัยของสาธารณชนในทุกๆ เรื่อง
ถ้าไม่ทำก็ไม่ควรทำงานการเมืองต่อเพราะสังคมจะวุ่นวายไม่จบสิ้น แต่ถ้าชี้แจงแก้ข้อสงสัยได้ทุกๆ ข้อจนเป็นที่ยอมรับ พ.ต.ท.ทักษิณ และคนใกล้ชิด
พรรคไทยรักไทยทุกคนควรกล้าประกาศจะประพฤติปฏิบัติตนตามหลักคุณธรรม 10 ประการสำหรับผู้นำประเทศ โดยเฉพาะความซื่อสัตย์สุจริต ยึดแนว
พระราชดำรัส หล่อหลอมโครงการพระราชดำริ สู่นโยบายสาธารณะแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนต่อไป
รายละเอียดโครงการสำรวจ
ระเบียบวิธีการดำเนินโครงการ
โครงการสำรวจภาคสนามของสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เรื่อง “ผลดีผลเสียกรณียุบพรรคการเมืองใหญ่ในสายตา
สาธารณชน : กรณีศึกษาประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล” ซึ่งดำเนินโครงการสำรวจในระหว่างวันที่ 27-28 มิถุนายน
2549
ประเภทของการสำรวจวิจัยครั้งนี้ คือ การวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research)
กลุ่มประชากรเป้าหมาย คือ ประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
เทคนิควิธีการสุ่มตัวอย่าง ได้แก่ การสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่มเชิงชั้นภูมิหลายชั้น และกำหนดลักษณะของตัวอย่างให้สอดคล้องกับประชากร
เป้าหมายจากการทำสำมะโน
ขนาดตัวอย่างที่ทำการสำรวจ จำนวน 1,156 ตัวอย่าง
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถาม
วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ การสัมภาษณ์
หลังจากนั้นคณะผู้วิจัยได้ตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ของแบบสอบถามก่อนนำเข้าวิเคราะห์ข้อมูล
ลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง
จากการพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า
ตัวอย่าง ร้อยละ 53.1 ระบุเป็นหญิง
ในขณะที่ร้อยละ 46.9 ระบุเป็นชาย
ตัวอย่าง ร้อยละ 4.8 อายุต่ำกว่า 20 ปี
ร้อยละ 22.9 อายุระหว่าง 20—29 ปี
ร้อยละ 24.3 อายุระหว่าง 30—39 ปี
ร้อยละ 20.8 อายุระหว่าง 40—49 ปี
ร้อยละ 27.2 อายุ 50 ปีขึ้นไป
ตัวอย่าง ร้อยละ 70.6 ระบุสำเร็จการศึกษาต่ำกว่าระดับปริญญาตรี
ร้อยละ 26.5 ระบุสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี
และร้อยละ 2.9 ระบุสำเร็จการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี
ตัวอย่าง ร้อยละ 28.6 ระบุอาชีพค้าขาย/ธุรกิจส่วนตัว
ร้อยละ 19.4 ระบุอาชีพรับจ้างทั่วไป
ร้อยละ 17.9 ระบุอาชีพพนักงาน/ลูกจ้างเอกชน
ร้อยละ 7.7 เป็นนักเรียน/นักศึกษา
ร้อยละ 17.9 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ
ร้อยละ 5.8 ระบุอาชีพข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ
ร้อยละ 1.0 ระบุอาชีพเกษตรกร
และร้อยละ 1.7 ระบุว่างงาน
โปรดพิจารณาประเด็นสำคัญที่ค้นพบ
ตารางที่ 1 พฤติกรรมการติดตามข่าวการเมืองโดยเฉลี่ยต่อสัปดาห์ ในช่วง 30 วันที่ผ่านมา
ลำดับที่ ความถี่ในการติดตามข่าวการเมือง ค่าร้อยละ
1 ทุกวัน เกือบทุกวัน 53.6
2 3 — 4 วันต่อสัปดาห์ 19.4
3 1 — 2 วันต่อสัปดาห์ 14.4
4 น้อยกว่า 1 วันต่อสัปดาห์ 6.0
5 ไม่ได้ติดตามเลย 6.6
รวมทั้งสิ้น 100.0
ตารางที่ 2 ผลดีที่เกิดขึ้น ในกรณีที่พรรคไทยรักไทยถูกยุบ (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ)
ลำดับที่ ผลดีที่เกิดขึ้น ในกรณีที่พรรคไทยรักไทยถูกยุบ ค่าร้อยละ
1 เปิดโอกาสให้คนใหม่ๆ พรรคใหม่เข้ามาทำงาน 31.4
2 นักการเมืองจะหลาบจำ ไม่กล้าทำผิดกฎหมายเสียเอง 26.9
3 การทุจริตคอรัปชั่นลดลง 15.9
4 ปัญหาทางการเมืองจะหมดไป / สถานการณ์ทางการเมืองสงบลง 12.3
5 เศรษฐกิจดีขึ้น 10.2
6 ปัญหาความรุนแรงภาคใต้จะลดลง 5.4
7 อื่นๆ เช่น สถานการณ์ / บทบาททางการเมืองจะมีความชัดเจน/
ประชาชนจะพึงพอใจมากขึ้น / ต่างประเทศจะมั่นใจมากขึ้น 9.9
ตารางที่ 3 ผลเสียที่เกิดขึ้น ในกรณีที่พรรคไทยรักไทยถูกยุบ (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ)
ลำดับที่ ผลเสียที่เกิดขึ้น ในกรณีที่พรรคไทยรักไทยถูกยุบ ค่าร้อยละ
1 เศรษฐกิจของประเทศแย่ลง 37.0
2 นโยบายรัฐบาลจะขาดความต่อเนื่อง 19.6
3 สถานการณ์ทางการเมืองวุ่นวาย / แย่ลงมากไปอีก 15.8
4 ปัญหายาเสพติดเพิ่มมากขึ้น 12.8
5 ปัญหาคนจนเพิ่มมากขึ้น / คนจนขาดที่พึ่ง 8.3
6 ขาดคนเก่งบริหารประเทศ 8.1
7 เสียเวลา เสียงบประมาณในการเลือกตั้งใหม่ 6.6
8 ต่างประเทศไม่เชื่อมั่นต่อประเทศไทย 4.7
9 ปัญหาผู้มีอิทธิพล / มาเฟียเพิ่มมากขึ้น / การพนันจะกลับมา 4.1
10 อื่นๆ เช่น ประชาชนจะขาดพรรคการเมืองที่ดี/ จะเหลือแต่พรรคเล็กที่ไม่มีผลงานชัดเจน เป็นต้น 5.2
ตารางที่ 4 ผลการเปรียบเทียบระหว่างผลดีและผลเสียที่เกิดขึ้น หากพรรคไทยรักไทยถูกยุบ
ลำดับที่ การเปรียบเทียบระหว่างผลดีและผลเสีย ค่าร้อยละ
1 มีผลดีมากกว่า 22.6
2 มีผลเสียมากกว่า 53.2
3 ไม่มีความเห็น 24.2
รวมทั้งสิ้น 100.0
ตารางที่ 5 ผลดีที่เกิดขึ้น ในกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบ (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ)
ลำดับที่ ผลดีที่เกิดขึ้น ในกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบ ค่าร้อยละ
1 สถานการณ์สงบลง / ไม่วุ่นวาย / ไม่มีการทะเลาะกัน 35.0
2 เกิดการพัฒนาบุคลากรทางการเมืองที่ดีขึ้น 31.0
3 ไม่มีการก่อกวนการเมือง 16.4
4 พรรคไทยรักไทยจะหมดคู่แข่ง 11.9
5 เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น เป็นผลดีต่อธุรกิจ 6.2
6 ประเทศชาติได้เจริญ 4.9
7 พรรคอื่นๆ ไม่กล้าทำความผิด 1.3
8 อื่นๆ เช่น สร้างบรรทัดฐานที่ถูกต้องกับการเมืองไทย เป็นต้น 0.4
ตารางที่ 6 ผลเสียที่เกิดขึ้น ในกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบ (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ)
ลำดับที่ ผลเสียที่เกิดขึ้น ในกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบ ค่าร้อยละ
1 ขาดฝ่ายค้านที่ดี / ขาดการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลที่เข้มข้น 35.0
2 การเมืองไม่มีเสถียรภาพ / ขาดสมดุล / ไม่มีการคานอำนาจกัน 13.2
3 สถานการณ์ทางการเมืองไม่สงบ / วุ่นวาย 12.6
4 ไม่มีพรรคใหญ่ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป / ไม่มีทางเลือกใหม่ให้ประชาชน 10.5
5 ปัญหาภาคใต้จะรุนแรงมากยิ่งขึ้น 9.7
6 ปัญหาคอรัปชั่นจะเพิ่มมากขึ้น 9.2
7 อาจเกิดการประท้วง จราจล ม็อบ สังคมแตกแยก 8.1
8 คะแนนโนโหวตจะสูง 8.1
9 อื่นๆ เช่น เกิดการทะเลาะกันระหว่างพรรคการเมือง เป็นต้น 1.7
ตารางที่ 7 ผลการเปรียบเทียบระหว่างผลดีและผลเสียที่เกิดขึ้น หากพรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบ
ลำดับที่ การเปรียบเทียบระหว่างผลดีและผลเสีย ค่าร้อยละ
1 มีผลดีมากกว่า 27.0
2 มีผลเสียมากกว่า 35.5
3 ไม่มีความเห็น 37.5
รวมทั้งสิ้น 100.0
ตารางที่ 8 ผลดีที่เกิดขึ้น ในกรณีที่มีการยุบทั้งพรรคไทยรักไทย และพรรคประชาธิปัตย์ (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ)
ลำดับที่ ผลดีที่เกิดขึ้น ในกรณีที่มีการยุบพรรคการเมืองทั้ง 2 พรรค ค่าร้อยละ
1 จะเกิดพรรคการเมืองใหม่ๆ ขึ้น 58.4
2 นักการเมืองจะไม่กล้าทำผิดกฎหมายเสียเอง 29.8
3 คุณธรรมจริยธรรมนักการเมืองจะสูงขึ้น 12.6
4 จะมีความชัดเจนทางการเมืองมากขึ้น 8.6
5 เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น 6.3
6 ปัญหาคอรัปชั่นจะลดลง 5.0
7 อื่นๆ เช่น เปิดโอกาสให้พรรคการเมืองเล็กๆ ได้มีบทบาท/ ปัญหาชายแดนภาคใต้ลดลง เป็นต้น 1.8
ตารางที่ 9 ผลเสียที่เกิดขึ้น ในกรณีที่มีการยุบทั้งพรรคไทยรักไทย และพรรคประชาธิปัตย์ (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ)
ลำดับที่ ผลเสียที่เกิดขึ้น ในกรณีที่มีการยุบพรรคการเมืองทั้ง 2 พรรค ค่าร้อยละ
1 สังคมวุ่นวายแตกแยก 27.0
2 เศรษฐกิจหยุดชะงัก / เศรษฐกิจแย่ลง 25.2
3 คะแนนโนโหวต คนไม่เลือกใครจะสูงขึ้น 18.4
4 นโยบายรัฐบาลขาดความต่อเนื่อง 15.1
5 เสียเวลา เสียงบประมาณในการเลือกตั้งใหม่ 12.4
6 การเมืองไทยไม่มีประสิทธิภาพ / ขาดเสถียรภาพ 8.2
7 พรรคการเมืองใหญ่หายไป 3.9
8 ประชาชนเกิดความสับสน / เบื่อหน่ายต่อการเมือง 3.7
9 ประเทศขาดความมั่นคง 3.5
10 อื่นๆ เช่น เกิดปัญหาต่างๆ มากขึ้น เช่น ปัญหาสังคม ปัญหายาเสพติด
ปัญหาภาคใต้ / ขาดบุคลากรที่ดีทางการเมือง เป็นต้น 6.2
ตารางที่ 10 ผลการเปรียบเทียบระหว่างผลดีและผลเสียที่เกิดขึ้น ในกรณีที่มีการยุบทั้งพรรคไทยรักไทย
และพรรคประชาธิปัตย์
ลำดับที่ การเปรียบเทียบระหว่างผลดีและผลเสีย ค่าร้อยละ
1 มีผลดีมากกว่า 14.9
2 มีผลเสียมากกว่า 57.3
3 ไม่มีความเห็น 27.8
รวมทั้งสิ้น 100.0
ตารางที่ 11 บุคคลที่คิดว่า มีความเหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของไทยคนต่อไป
(คำถามปลายเปิดและตอบได้มากกว่า 1 คน)
ลำดับที่ บุคคลที่คิดว่า เหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของไทยคนต่อไป ค่าร้อยละ
1 พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร 41.0
2 ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ 23.5
3 นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ 17.3
4 นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน 15.2
5 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 13.1
6 นายบรรหาร ศิลปอาชา 4.9
7 นายชวน หลีกภัย 4.4
8 นายศุภชัย พานิชภักดิ์ 2.9
9 อื่นๆ นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย/ นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นต้น 5.3
ตารางที่ 12 บุคคลที่คิดว่า มีความเหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของไทยคนต่อไป ถ้าไม่นับ
พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร และ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (คำถามปลายเปิดและตอบได้มากกว่า 1 คน)
ลำดับที่ บุคคลที่คิดว่า เหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของไทย ถ้าไม่นับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ค่าร้อยละ
1 ร.ต.อ ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ 38.4
2 นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ 32.9
3 นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน 25.3
4 นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย 19.5
5 นายศุภชัย พานิชภักดิ์ 15.4
6 นายชวน หลีกภัย 14.2
7 นายบรรหาร ศิลปอาชา 11.3
8 นายโภคิน พลกุล 7.9
9 บุคคลอื่นๆ อาทิเช่น นายวิษณุ เครืองาม พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ/นายสุวัฒน์ ลิปตพัลลภ เป็นต้น 3.2
สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ โทร.0-2719-1549-50
www.abacpoll.au.edu หรือ www.abacpoll.com
--เอแบคโพลล์--
-พห-
พรรคการเมืองใหญ่ในสายตาสาธารณชน โดยเก็บข้อมูลจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลรวมทั้งสิ้น 1,156 ตัวอย่าง
ระหว่างวันที่ 27-28 มิถุนายนที่ผ่านมา
ผลสำรวจพบประชาชนส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 80 ติดตามข่าวการเมืองเป็นประจำ และเมื่อสอบถามถึงกรณีข่าวมติอัยการสูงสุดชี้มูลคดีให้ศาล
รัฐธรรมนูญยุบพรรคไทยรักไทยว่าจะมีผลดีอะไรบ้าง ผลสำรวจพบว่า ร้อยละ 31.4 ระบุเปิดโอกาสให้คนใหม่ๆ พรรคการเมืองใหม่เข้ามาทำงาน ร้อย
ละ 26.9 คิดว่านักการเมืองจะไม่กล้าทำผิดกฎหมายเสียเอง ร้อยละ 15.9 คิดว่าการทุจริตคอรัปชั่นจะลดลง ร้อยละ 12.3 คิดว่าปัญหาการเมืองจะ
หมดไป ร้อยละ 10.2 คิดว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น ร้อยละ 5.4 คิดว่าปัญหาความรุนแรงภาคใต้จะลดลง
ในขณะที่ผลเสียถ้ามีการยุบพรรคไทยรักไทย พบว่า ร้อยละ 37.0 เศรษฐกิจจะแย่ลง ร้อยละ 19.6 นโยบายรัฐบาลจะขาดความต่อ
เนื่อง ร้อยละ 15.8 สถานการณ์การเมืองจะวุ่นวาย ร้อยละ 12.8 คิดว่ายาเสพติดจะระบาดเพิ่มขึ้น ร้อยละ 8.3 คิดว่าปัญหาคนจนจะเพิ่มขึ้น ร้อย
ละ 8.1 ขาดคนเก่งบริหารประเทศ ร้อยละ 6.6 เสียเวลาและงบประมาณเลือกตั้งใหม และร้อยละ 4.7 คิดว่าต่างชาติจะไม่เชื่อมั่นต่อประเทศไทย
และเมื่อสอบถามถึงผลดีผลเสียจะเกิดขึ้นถ้ายุบพรรคไทยรักไทย พบว่า ร้อยละ 53.2 คิดว่าผลเสียจะมากกว่า ร้อยละ 22.6 คิดว่า
ผลดีจะมากกว่า และที่เหลือร้อยละ 24.2 ไม่มีความเห็น
เมื่อสอบถามถึงกรณีข่าวมติอัยการสูงสุดชี้มูลคดีให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคประชาธิปัตย์ว่าจะมีผลดีอะไรบ้าง พบว่า ร้อยละ 35.0 คิดว่า
สถานการณ์สงบลง ร้อยละ 31.0 คิดว่าจะเกิดการพัฒนาบุคลากรทางการเมืองที่ดีขึ้น ร้อยละ 16.4 คิดว่าจะไม่มีการก่อกวนทางการเมือง ร้อยละ
11.9 คิดว่าพรรคไทยรักไทยจะหมดคู่แข่ง ร้อยละ 6.2 คิดว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น เป็นต้น
ในขณะที่ผลเสียถ้ายุบพรรคประชาธิปัตย์ พบว่า ร้อยละ 35.0 คิดว่าจะขาดฝ่ายค้านที่ดี ขาดการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลที่เข้มข้น
ร้อยละ 13.2 คิดว่าการเมืองจะไม่มีเสถียรภาพ ร้อยละ 12.6 คิดว่าสถานการณ์การเมืองจะวุ่นวาย ร้อยละ 10.5 คิดว่าไม่มีพรรคใหญ่ให้ประชาชน
เลือก ร้อยละ 9.7 ปัญหาภาคใต้จะรุนแรงมากขึ้น ร้อยละ 9.2 คิดว่าปัญหาคอรัปชั่นจะสูงขึ้น ร้อยละ 8.1 คิดว่าสังคมจะแตกแยกและร้อยละ 8.1
เช่นกันคิดว่าคะแนนโนโหวตจะสูงขึ้น
เมื่อสอบถามถึงผลดีผลเสียถ้ายุบพรรคประชาธิปัตย์ พบว่า ร้อยละ 35.5 จะเกิดผลเสียมากกว่า ร้อยละ 27.0 คิดว่าจะเกิดผลดี
มากกว่า และร้อยละ 37.5 ไม่มีความเห็น
ดร.นพดล กล่าวต่อว่า ประเด็นที่น่าพิจารณาคือ เมื่อถามถึงผลดีถ้ามีการยุบทั้งไทยรักไทยและประชาธิปัตย์ พบว่า ร้อยละ 58.4 คิดว่าจะ
เกิดพรรคการเมืองใหม่ๆ ขึ้น ร้อยละ 29.8 คิดว่านักการเมืองจะไม่กล้าทำผิดกฎหมายเสียเอง ร้อยละ12.6 คิดว่าคุณธรรมจริยธรรมของนักการเมือง
จะสูงขึ้น ร้อยละ 8.6 คิดว่าจะทำให้การเมืองมีความชัดเจนขึ้น ร้อยละ 6.3 คิดว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น ร้อยละ 5.0 คิดว่าปัญหาคอรัปชั่นจะลดลง ตาม
ลำดับ
อย่างไรก็ตาม เมื่อสอบถามถึงผลเสียถ้ายุบทั้งสองพรรค พบว่า ร้อยละ 27.0 คิดว่าสังคมจะวุ่นวายแตกแยก ร้อยละ 25.2 คิดว่า
เศรษฐกิจจะหยุดชะงัก ร้อยละ 18.4 คิดว่าคะแนนโนโหวตไม่เลือกใครจะสูงขึ้น ร้อยละ 15.1 นโยบายรัฐบาลจะขาดความต่อเนื่อง ร้อยละ 12.4
คิดว่าจะเสียเวลาและงบประมาณ ร้อยละ 8.2 คิดว่าการเมืองจะไม่มีเสถียรภาพ ร้อยละ 3.9 พรรคการเมืองใหญ่จะหายไป และร้อยละ 6.2 ปัญหา
อื่นๆจะตามมาเช่น ยาเสพติด ความยากจน กลุ่มผู้มีอิทธิพลและปัญหาชายแดนภาคใต้
เมื่อสอบถามถึงผลดีผลเสียถ้ายุบทั้งสองพรรค พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 57.3 คิดว่าผลเสียจะมากกว่า ร้อยละ 14.9 คิดว่าผลดี
มากกว่า และที่เหลือร้อยละ 27.8 ไม่มีความเห็น
ดร.นพดล กล่าวต่อว่า ที่น่าพิจารณาคือ เมื่อถามว่าใครมีความเหมาะสมเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป พบว่า ร้อยละ 41.0 ระบุเป็น พ.ต.
ท.ทักษิณ ชินวัตร ร้อยละ 23.5 ระบุเป็น ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ร้อยละ 17.3 ระบุเป็นนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ร้อยละ 15.2 ระบุเป็นนาย
อภิรักษ์ โกษะโยธิน ร้อยละ 13.1 ระบุเป็นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ร้อยละ 4.9 ระบุนายบรรหาร ศิลปอาชา ร้อยละ 4.4 ระบุนายชวน หลีกภัย
ร้อยละ 2.9 ระบุนายศุภชัย พานิชภักดิ์ ร้อยละ 5.3 ระบุอื่นๆ เช่น นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่นับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พบข้อมูลที่น่าพิจารณาคือ ร้อยละ 38.4 ระบุเป็น ร.ต.อ.ปุ
ระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ร้อยละ 32.9 ระบุเป็นนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ร้อยละ 25.3 ระบุเป็น นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ร้อยละ 19.5 ระบุเป็นนาย
สุรเกียรติ์ เสถียรไทย ร้อยละ15.4 ระบุเป็นนายศุภชัย พานิชภักดิ์ ตามลำดับ
“ผลสำรวจครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า สาธารณชนที่ถูกศึกษาหวั่นเกรงความวุ่นวายแตกแยกทางสังคมที่อาจเกิดขึ้นตามมาหลังจากการยุบพรรคไทยรัก
ไทยและพรรคประชาธิปัตย์ไปพร้อมๆ กัน เพราะที่ผ่านมาสังคมการเมืองได้แบ่งประชาชนออกเป็นฝักเป็นฝ่ายอย่างชัดเจน ประชาชนที่สนับสนุนแต่ละฝ่าย
ต่างคาดหวังและมีอุดมการณ์ที่แรงกล้าคนละขั้ว การยุบพรรคการเมืองที่ประชาชนแต่ละกลุ่มให้ความหวังไว้อาจไม่ใช่ทางออกของวิกฤตการณ์ทางการ
เมืองขณะนี้” ดร.นพดล กล่าว
ดร.นพดล วิเคราะห์ว่า ดูจากผลวิจัยหลายโครงการที่ผ่านมาและความเป็นไปได้ในอนาคต พบว่า ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ ถอนตัวออกจาก
ระบบการเมือง โดยบอกให้ประชาชนที่สนับสนุนเข้าใจไม่เคลื่อนไหวรุนแรง การทำงานทางการเมืองของคนใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ อาจได้รับการสนับ
สนุนทั้งฝ่ายที่นิยมศรัทธา พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่แล้วและฝ่ายที่เคยต่อต้านอาจหันมาสนับสนุนพรรคได้ ซึ่งจากการสำรวจล่าสุดพบว่า ถ้าไม่มี พ.ต.ท.ทักษิณ
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีให้กับประชาชนทั่วไป และน่าจะเป็นผลดีต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ เพียงแต่คนในพรรคไทยรักไทย
ทั่วประเทศต้องสนับสนุน เพราะการทำโพลล์หลายครั้งที่ผ่านมานโยบายต่างๆ ของรัฐบาลได้รับการตอบรับจากประชาชนส่วนใหญ่อยู่ในระดับที่ดีหลาย
โครงการ เช่น หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ แก้ปัญหายาเสพติด โครงการสามสิบบาทรักษาทุกโรค และการปราบปรากลุ่มผู้มีอิทธิพล เป็นต้น
“อย่างไรก็ตาม ผลวิจัยหลายครั้งที่ผ่านมาชี้ให้เห็นเช่นกันว่า ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ (ถ้าสนใจลงแข่งขันทางการเมือง) กำลังได้
รับความสนใจจากประชาชนจำนวนมากเช่นกัน ยิ่งถ้าไม่มี พ.ต.ท.ทักษิณ แล้ว คนในเขตกรุงเทพมหานครและหัวเมืองใหญ่จำนวนมากอาจเทคะแนนให้
กับ ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ได้ แต่เชื่อว่าความนิยมต่อ ร.ต.อ.ปุระชัย ยังไม่แผ่กว้างไปยังประชาชนนอกเขตเทศบาล การแข่งขันทางการเมือง
ในอนาคต ถ้าสถานการณ์การเมืองกลับมาปกติและไม่มี พ.ต.ท.ทักษิณ และนายอภิสิทธิ์ หัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่ทั้งสอง รัฐบาลไทยที่จะเกิดขึ้นน่าจะ
ยังคงเป็นรัฐบาลพรรคไทยรักไทยแต่จะไม่ใช่รัฐบาลเสียงข้างมากเหมือนเดิม การทำงานของรัฐบาลไทยคงจะอยู่บนฐานของการทุ่มเทแก้ปัญหาเดือดร้อน
ของประชาชนอย่างแท้จริง และจะถูกตรวจสอบคุณธรรมจริยธรรมทางการเมืองอย่างเข้มข้น ถ้าพรรคเล็กพรรคน้อยไม่ไปยุบรวมกับพรรคใหญ่
เหมือนในอดีตที่ผ่านมา” ดร.นพดล กล่าว
ดร.นพดล วิเคราะห์ต่อว่า สังคมไทยจะสงบเรียบร้อยอย่างแน่นอน ถ้า สาธารณชนไม่มีความเคลือบแคลงสงสัยต่อคนใกล้ชิด พ.ต.ท.
ทักษิณ ในเรื่องการแสวงหาผลประโยชน์จากนโยบายของรัฐบาล ดังนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ จึงควรประกาศชี้แจงลดข้อสงสัยของสาธารณชนในทุกๆ เรื่อง
ถ้าไม่ทำก็ไม่ควรทำงานการเมืองต่อเพราะสังคมจะวุ่นวายไม่จบสิ้น แต่ถ้าชี้แจงแก้ข้อสงสัยได้ทุกๆ ข้อจนเป็นที่ยอมรับ พ.ต.ท.ทักษิณ และคนใกล้ชิด
พรรคไทยรักไทยทุกคนควรกล้าประกาศจะประพฤติปฏิบัติตนตามหลักคุณธรรม 10 ประการสำหรับผู้นำประเทศ โดยเฉพาะความซื่อสัตย์สุจริต ยึดแนว
พระราชดำรัส หล่อหลอมโครงการพระราชดำริ สู่นโยบายสาธารณะแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนต่อไป
รายละเอียดโครงการสำรวจ
ระเบียบวิธีการดำเนินโครงการ
โครงการสำรวจภาคสนามของสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เรื่อง “ผลดีผลเสียกรณียุบพรรคการเมืองใหญ่ในสายตา
สาธารณชน : กรณีศึกษาประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล” ซึ่งดำเนินโครงการสำรวจในระหว่างวันที่ 27-28 มิถุนายน
2549
ประเภทของการสำรวจวิจัยครั้งนี้ คือ การวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research)
กลุ่มประชากรเป้าหมาย คือ ประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
เทคนิควิธีการสุ่มตัวอย่าง ได้แก่ การสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่มเชิงชั้นภูมิหลายชั้น และกำหนดลักษณะของตัวอย่างให้สอดคล้องกับประชากร
เป้าหมายจากการทำสำมะโน
ขนาดตัวอย่างที่ทำการสำรวจ จำนวน 1,156 ตัวอย่าง
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถาม
วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ การสัมภาษณ์
หลังจากนั้นคณะผู้วิจัยได้ตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ของแบบสอบถามก่อนนำเข้าวิเคราะห์ข้อมูล
ลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง
จากการพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า
ตัวอย่าง ร้อยละ 53.1 ระบุเป็นหญิง
ในขณะที่ร้อยละ 46.9 ระบุเป็นชาย
ตัวอย่าง ร้อยละ 4.8 อายุต่ำกว่า 20 ปี
ร้อยละ 22.9 อายุระหว่าง 20—29 ปี
ร้อยละ 24.3 อายุระหว่าง 30—39 ปี
ร้อยละ 20.8 อายุระหว่าง 40—49 ปี
ร้อยละ 27.2 อายุ 50 ปีขึ้นไป
ตัวอย่าง ร้อยละ 70.6 ระบุสำเร็จการศึกษาต่ำกว่าระดับปริญญาตรี
ร้อยละ 26.5 ระบุสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี
และร้อยละ 2.9 ระบุสำเร็จการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี
ตัวอย่าง ร้อยละ 28.6 ระบุอาชีพค้าขาย/ธุรกิจส่วนตัว
ร้อยละ 19.4 ระบุอาชีพรับจ้างทั่วไป
ร้อยละ 17.9 ระบุอาชีพพนักงาน/ลูกจ้างเอกชน
ร้อยละ 7.7 เป็นนักเรียน/นักศึกษา
ร้อยละ 17.9 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ
ร้อยละ 5.8 ระบุอาชีพข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ
ร้อยละ 1.0 ระบุอาชีพเกษตรกร
และร้อยละ 1.7 ระบุว่างงาน
โปรดพิจารณาประเด็นสำคัญที่ค้นพบ
ตารางที่ 1 พฤติกรรมการติดตามข่าวการเมืองโดยเฉลี่ยต่อสัปดาห์ ในช่วง 30 วันที่ผ่านมา
ลำดับที่ ความถี่ในการติดตามข่าวการเมือง ค่าร้อยละ
1 ทุกวัน เกือบทุกวัน 53.6
2 3 — 4 วันต่อสัปดาห์ 19.4
3 1 — 2 วันต่อสัปดาห์ 14.4
4 น้อยกว่า 1 วันต่อสัปดาห์ 6.0
5 ไม่ได้ติดตามเลย 6.6
รวมทั้งสิ้น 100.0
ตารางที่ 2 ผลดีที่เกิดขึ้น ในกรณีที่พรรคไทยรักไทยถูกยุบ (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ)
ลำดับที่ ผลดีที่เกิดขึ้น ในกรณีที่พรรคไทยรักไทยถูกยุบ ค่าร้อยละ
1 เปิดโอกาสให้คนใหม่ๆ พรรคใหม่เข้ามาทำงาน 31.4
2 นักการเมืองจะหลาบจำ ไม่กล้าทำผิดกฎหมายเสียเอง 26.9
3 การทุจริตคอรัปชั่นลดลง 15.9
4 ปัญหาทางการเมืองจะหมดไป / สถานการณ์ทางการเมืองสงบลง 12.3
5 เศรษฐกิจดีขึ้น 10.2
6 ปัญหาความรุนแรงภาคใต้จะลดลง 5.4
7 อื่นๆ เช่น สถานการณ์ / บทบาททางการเมืองจะมีความชัดเจน/
ประชาชนจะพึงพอใจมากขึ้น / ต่างประเทศจะมั่นใจมากขึ้น 9.9
ตารางที่ 3 ผลเสียที่เกิดขึ้น ในกรณีที่พรรคไทยรักไทยถูกยุบ (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ)
ลำดับที่ ผลเสียที่เกิดขึ้น ในกรณีที่พรรคไทยรักไทยถูกยุบ ค่าร้อยละ
1 เศรษฐกิจของประเทศแย่ลง 37.0
2 นโยบายรัฐบาลจะขาดความต่อเนื่อง 19.6
3 สถานการณ์ทางการเมืองวุ่นวาย / แย่ลงมากไปอีก 15.8
4 ปัญหายาเสพติดเพิ่มมากขึ้น 12.8
5 ปัญหาคนจนเพิ่มมากขึ้น / คนจนขาดที่พึ่ง 8.3
6 ขาดคนเก่งบริหารประเทศ 8.1
7 เสียเวลา เสียงบประมาณในการเลือกตั้งใหม่ 6.6
8 ต่างประเทศไม่เชื่อมั่นต่อประเทศไทย 4.7
9 ปัญหาผู้มีอิทธิพล / มาเฟียเพิ่มมากขึ้น / การพนันจะกลับมา 4.1
10 อื่นๆ เช่น ประชาชนจะขาดพรรคการเมืองที่ดี/ จะเหลือแต่พรรคเล็กที่ไม่มีผลงานชัดเจน เป็นต้น 5.2
ตารางที่ 4 ผลการเปรียบเทียบระหว่างผลดีและผลเสียที่เกิดขึ้น หากพรรคไทยรักไทยถูกยุบ
ลำดับที่ การเปรียบเทียบระหว่างผลดีและผลเสีย ค่าร้อยละ
1 มีผลดีมากกว่า 22.6
2 มีผลเสียมากกว่า 53.2
3 ไม่มีความเห็น 24.2
รวมทั้งสิ้น 100.0
ตารางที่ 5 ผลดีที่เกิดขึ้น ในกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบ (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ)
ลำดับที่ ผลดีที่เกิดขึ้น ในกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบ ค่าร้อยละ
1 สถานการณ์สงบลง / ไม่วุ่นวาย / ไม่มีการทะเลาะกัน 35.0
2 เกิดการพัฒนาบุคลากรทางการเมืองที่ดีขึ้น 31.0
3 ไม่มีการก่อกวนการเมือง 16.4
4 พรรคไทยรักไทยจะหมดคู่แข่ง 11.9
5 เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น เป็นผลดีต่อธุรกิจ 6.2
6 ประเทศชาติได้เจริญ 4.9
7 พรรคอื่นๆ ไม่กล้าทำความผิด 1.3
8 อื่นๆ เช่น สร้างบรรทัดฐานที่ถูกต้องกับการเมืองไทย เป็นต้น 0.4
ตารางที่ 6 ผลเสียที่เกิดขึ้น ในกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบ (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ)
ลำดับที่ ผลเสียที่เกิดขึ้น ในกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบ ค่าร้อยละ
1 ขาดฝ่ายค้านที่ดี / ขาดการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลที่เข้มข้น 35.0
2 การเมืองไม่มีเสถียรภาพ / ขาดสมดุล / ไม่มีการคานอำนาจกัน 13.2
3 สถานการณ์ทางการเมืองไม่สงบ / วุ่นวาย 12.6
4 ไม่มีพรรคใหญ่ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป / ไม่มีทางเลือกใหม่ให้ประชาชน 10.5
5 ปัญหาภาคใต้จะรุนแรงมากยิ่งขึ้น 9.7
6 ปัญหาคอรัปชั่นจะเพิ่มมากขึ้น 9.2
7 อาจเกิดการประท้วง จราจล ม็อบ สังคมแตกแยก 8.1
8 คะแนนโนโหวตจะสูง 8.1
9 อื่นๆ เช่น เกิดการทะเลาะกันระหว่างพรรคการเมือง เป็นต้น 1.7
ตารางที่ 7 ผลการเปรียบเทียบระหว่างผลดีและผลเสียที่เกิดขึ้น หากพรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบ
ลำดับที่ การเปรียบเทียบระหว่างผลดีและผลเสีย ค่าร้อยละ
1 มีผลดีมากกว่า 27.0
2 มีผลเสียมากกว่า 35.5
3 ไม่มีความเห็น 37.5
รวมทั้งสิ้น 100.0
ตารางที่ 8 ผลดีที่เกิดขึ้น ในกรณีที่มีการยุบทั้งพรรคไทยรักไทย และพรรคประชาธิปัตย์ (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ)
ลำดับที่ ผลดีที่เกิดขึ้น ในกรณีที่มีการยุบพรรคการเมืองทั้ง 2 พรรค ค่าร้อยละ
1 จะเกิดพรรคการเมืองใหม่ๆ ขึ้น 58.4
2 นักการเมืองจะไม่กล้าทำผิดกฎหมายเสียเอง 29.8
3 คุณธรรมจริยธรรมนักการเมืองจะสูงขึ้น 12.6
4 จะมีความชัดเจนทางการเมืองมากขึ้น 8.6
5 เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น 6.3
6 ปัญหาคอรัปชั่นจะลดลง 5.0
7 อื่นๆ เช่น เปิดโอกาสให้พรรคการเมืองเล็กๆ ได้มีบทบาท/ ปัญหาชายแดนภาคใต้ลดลง เป็นต้น 1.8
ตารางที่ 9 ผลเสียที่เกิดขึ้น ในกรณีที่มีการยุบทั้งพรรคไทยรักไทย และพรรคประชาธิปัตย์ (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ)
ลำดับที่ ผลเสียที่เกิดขึ้น ในกรณีที่มีการยุบพรรคการเมืองทั้ง 2 พรรค ค่าร้อยละ
1 สังคมวุ่นวายแตกแยก 27.0
2 เศรษฐกิจหยุดชะงัก / เศรษฐกิจแย่ลง 25.2
3 คะแนนโนโหวต คนไม่เลือกใครจะสูงขึ้น 18.4
4 นโยบายรัฐบาลขาดความต่อเนื่อง 15.1
5 เสียเวลา เสียงบประมาณในการเลือกตั้งใหม่ 12.4
6 การเมืองไทยไม่มีประสิทธิภาพ / ขาดเสถียรภาพ 8.2
7 พรรคการเมืองใหญ่หายไป 3.9
8 ประชาชนเกิดความสับสน / เบื่อหน่ายต่อการเมือง 3.7
9 ประเทศขาดความมั่นคง 3.5
10 อื่นๆ เช่น เกิดปัญหาต่างๆ มากขึ้น เช่น ปัญหาสังคม ปัญหายาเสพติด
ปัญหาภาคใต้ / ขาดบุคลากรที่ดีทางการเมือง เป็นต้น 6.2
ตารางที่ 10 ผลการเปรียบเทียบระหว่างผลดีและผลเสียที่เกิดขึ้น ในกรณีที่มีการยุบทั้งพรรคไทยรักไทย
และพรรคประชาธิปัตย์
ลำดับที่ การเปรียบเทียบระหว่างผลดีและผลเสีย ค่าร้อยละ
1 มีผลดีมากกว่า 14.9
2 มีผลเสียมากกว่า 57.3
3 ไม่มีความเห็น 27.8
รวมทั้งสิ้น 100.0
ตารางที่ 11 บุคคลที่คิดว่า มีความเหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของไทยคนต่อไป
(คำถามปลายเปิดและตอบได้มากกว่า 1 คน)
ลำดับที่ บุคคลที่คิดว่า เหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของไทยคนต่อไป ค่าร้อยละ
1 พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร 41.0
2 ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ 23.5
3 นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ 17.3
4 นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน 15.2
5 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 13.1
6 นายบรรหาร ศิลปอาชา 4.9
7 นายชวน หลีกภัย 4.4
8 นายศุภชัย พานิชภักดิ์ 2.9
9 อื่นๆ นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย/ นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นต้น 5.3
ตารางที่ 12 บุคคลที่คิดว่า มีความเหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของไทยคนต่อไป ถ้าไม่นับ
พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร และ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (คำถามปลายเปิดและตอบได้มากกว่า 1 คน)
ลำดับที่ บุคคลที่คิดว่า เหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของไทย ถ้าไม่นับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ค่าร้อยละ
1 ร.ต.อ ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ 38.4
2 นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ 32.9
3 นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน 25.3
4 นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย 19.5
5 นายศุภชัย พานิชภักดิ์ 15.4
6 นายชวน หลีกภัย 14.2
7 นายบรรหาร ศิลปอาชา 11.3
8 นายโภคิน พลกุล 7.9
9 บุคคลอื่นๆ อาทิเช่น นายวิษณุ เครืองาม พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ/นายสุวัฒน์ ลิปตพัลลภ เป็นต้น 3.2
สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ โทร.0-2719-1549-50
www.abacpoll.au.edu หรือ www.abacpoll.com
--เอแบคโพลล์--
-พห-