เอแบคโพลล์: วัดใจสาธารณชนต่อ แผนปรองดองของรัฐบาลเปรียบเทียบกับของฝ่ายค้าน

ข่าวผลสำรวจ Wednesday September 22, 2010 11:17 —เอแบคโพลล์

ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ และนักศึกษาด้านการพัฒนาระหว่างประเทศ ประจำสถาบันคอร์เนลล์เพื่อภารกิจของรัฐ มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ ( Cornell University) เปิดเผยผลสำรวจ เรื่อง วัดใจสาธารณชนต่อแผนปรองดองของรัฐบาล เปรียบเทียบกับของฝ่ายค้าน: กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนคนคอการเมืองในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล จำนวนทั้งสิ้น 1,168 ครัวเรือน โดยดำเนินการวิจัยระหว่างวันที่ 20 - 21 กันยายน 2553 ที่ผ่านมา ประเด็นสำคัญที่พบมีดังนี้

อันดับแรก หรือร้อยละ 37.5 ของประชาชนที่ศึกษาทั้งหมดชื่นชอบแผนปรองดองของฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านเสนอในเรื่องความจงรักภักดีต่อสถาบันและการนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ ในขณะเดียวกัน ร้อยละ 33.2 ชื่นชอบการปรองดองด้วยการปฏิรูปด้านสวัสดิการ สร้างความเท่าเทียมกัน ด้านอาชีพ ที่ทำกิน การศึกษา สุขภาพ และอื่นๆ (เสนอโดยรัฐบาล) ร้อยละ 26.5 ชอบแผนปรองดองของฝ่ายค้านที่เสนอ “ให้อภัยต่อกัน” ในขณะที่ ร้อยละ 19.4 ชอบแผนปรองดองของฝ่ายค้านที่เสนอให้พูดจากันด้วยสันติวิธี ร้อยละ 14.3 ชอบแผนปรองดองของฝ่ายค้านที่เสนอให้ละเว้นการใช้ความรุนแรงทั้งวาจาและการกระทำ ร้อยละ 10.6 ชอบแผนปรองดองของฝ่ายรัฐบาลเรื่องการแก้ปัญหาขัดแย้งทางการเมือง เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และรองๆ ลงไป เป็นเรื่อง การตั้งคณะกรรมการอิสระ ตรวจสอบการใช้ความรุนแรงในการชุมนุม และการปฏิรูปสื่อมวลชน ให้อิสระไม่แทรกแซง

อย่างไรก็ตาม ที่น่าพิจารณาคือ ประชาชนจำนวนมากคือร้อยละ 45.4 คาดหวังน้อยถึงไม่คาดหวังเลยต่อแผนปรองดองของฝ่ายค้าน ส่วนที่คาดหวังปานกลางมีอยู่ร้อยละ 25.2 และร้อยละ 29.4 คาดหวังค่อนข้างมาก ถึงมากที่สุด เช่นเดียวกัน ประชาชนจำนวนมากหรือร้อยละ 47.1 คาดหวังน้อยถึงไม่คาดหวังเลยต่อแผนปรองดองที่ฝ่ายรัฐบาลเสนอ ส่วนที่คาดหวังปานกลางมีอยู่ร้อยละ 24.1 และ ร้อยละ 28.8 คาดหวังค่อนข้างมากถึงมากที่สุด

ผอ.เอแบคโพลล์ กล่าวว่า “แผนปรองดอง” คือ เครื่องมือของหลายประเทศที่กำลังประสบปัญหาใช้เพื่อให้ประเทศนั้นๆ ไม่หยุดชะงัก ไม่ถูกสกัดกั้นในการพัฒนา แผนปรองดองจะต้องทำให้รัฐบาลและฝ่ายค้านทำงานร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาเดือดร้อนของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศโดยไม่ทำให้ฝ่ายการเมืองหรือกลุ่มบุคคลฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดกลายเป็น “ผู้แพ้” หรือ “ผู้ชนะ” แผนปรองดองต้องไม่กลายเป็น “ตัวสร้างเงื่อนไข” หรืออุปสรรคใดที่จะกลายเป็นอุปสรรคสำคัญในการหยุดการพัฒนาเสียเอง ตรงกันข้าม แผนปรองดองต้องทำให้เกิดพลังขับเคลื่อนในหมู่ประชาชน และความเป็นจริงที่ค้นพบในการสำรวจครั้งนี้คือ แผนปรองดองที่มีการประกาศออกมาก็ได้รับการตอบรับจากสาธารณาชนดีพอสมควร ถึงขั้นสรุปได้ว่า ประชาชนจำนวนมากชื่นชอบ เพียงแต่ไม่คาดหวังอะไรต่อฝ่ายการเมืองในเรื่องแผนปรองดองแห่งชาติ สาเหตุหลักๆ น่าจะเป็นเพราะความไม่เชื่อมั่น ไม่ศรัทธาของสาธารณชนต่อฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน จึงมีความจำเป็นที่นักการเมืองต้องเร่งกอบกู้ปรับปรุงภาพลักษณ์โดยด่วน เพื่อรักษาเยียวยาระบบของสังคมไทยให้พัฒนาก้าวไปข้างหน้าบนวิถีทางประชาธิปไตยต่อไปได้

จากการพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่าตัวอย่างร้อยละ 53.4 เป็นหญิง

ร้อยละ 46.6 เป็นชาย

ตัวอย่าง ร้อยละ 6.9 อายุต่ำกว่า 20 ปี

ร้อยละ 16.5 อายุระหว่าง 20 — 29 ปี

ร้อยละ 22.4 อายุระหว่าง 30 — 39 ปี

ร้อยละ 27.4 อายุระหว่าง 40 — 49 ปี

และร้อยละ 26.8 อายุ 50 ปีขึ้นไป

ตัวอย่าง ร้อยละ 77.5 สำเร็จการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี

รองลงมาคือร้อยละ 20.1 สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี

และร้อยละ 2.4 สำเร็จการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี

ร้อยละ 41.4 มีอาชีพค้าขายรายย่อย/อิสระ

รองลงมาร้อยละ 21.2 เป็นผู้รับจ้างใช้แรงงานทั่วไป/เกษตรกร

ร้อยละ 19.8 เป็นลูกจ้าง/พนักงานบริษัท

ร้อยละ 8.8 เป็นข้าราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ

ร้อยละ 4.5 เป็นแม่บ้าน/พ่อบ้าน/เกษียณอายุ

ร้อยละ 4.3 เป็นนักเรียน/นักศึกษา

โปรดพิจารณารายละเอียดดังตารางต่อไปนี้

ตารางที่ 1 แสดงค่าร้อยละของตัวอย่างที่ระบุ ความชื่นชอบต่อประเด็นแผนปรองดองของฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้าน
ลำดับ          ประเด็นแผนปรองดองของฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้าน                              ค่าร้อยละ
1          ความจงรักภักดีต่อสถาบัน และการนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ (เสนอโดยรัฐบาล)          37.5
2          ปรองดองด้วยการปฏิรูปด้านสวัสดิการ สร้างความเท่าเทียมกัน ด้านอาชีพ มีที่ทำกิน-
           การศึกษา สุขภาพ และอื่นๆ (เสนอโดยรัฐบาล)                                     33.2
4          การให้อภัยต่อกัน  (เสนอโดยฝ่ายค้าน)                                           26.5
5          การพูดจากันด้วยสันติวิธี (เสนอโดยฝ่ายค้าน)                                       19.4
6          ละเว้นการใช้ความรุนแรง ทั้งวาจา และการกระทำ (เสนอโดยฝ่ายค้าน)                  14.3
7          แก้ปัญหาการเมือง แก้รัฐธรรมนูญ (เสนอโดยรัฐบาล)                                 10.6
8          ตั้งกรรมการอิสระ ตรวจสอบการใช้ความรุนแรงในการชุมนุม (เสนอโดยรัฐบาล)              9.8
9          ปฏิรูปสื่อมวลชน ให้อิสระ ไม่แทรกแซง  (เสนอโดยรัฐบาล)                             8.7

ตารางที่ 2 แสดงค่าร้อยละของตัวอย่างที่ระบุความคาดหวังโดยภาพรวมกับแผนปรองดองที่ฝ่ายค้านเสนอ
ลำดับ          ความคาดหวังกับแผนปรองดองที่ฝ่ายค้านเสนอ          ค่าร้อยละ
1          ค่อนข้างน้อย - ไม่คาดหวังเลย                        45.4
2          ปานกลาง                                        25.2
3          ค่อนข้างมาก — มากที่สุด                             29.4
          รวมทั้งสิ้น                                        100.0

ตารางที่ 3 แสดงค่าร้อยละของตัวอย่างที่ระบุความคาดหวังโดยภาพรวมต่อแผนปรองดองที่ฝ่ายรัฐบาลเสนอ
ลำดับ          ความคาดหวังกับแผนปรองดองที่ฝ่ายรัฐบาลเสนอ       ค่าร้อยละ
1          ค่อนข้างน้อย - ไม่คาดหวังเลย                        47.1
2          ปานกลาง                                        24.1
3          ค่อนข้างมาก —  มากที่สุด                            28.8
          รวมทั้งสิ้น                                        100.0

--เอแบคโพลล์--

-พห-

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ