ซีแอตเติ้ล และอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์--26 ม.ค.--พีอาร์นิวส์ไวร์ - เอเชียเน็ท / อินโฟเควสท์
จำนวนเงินรวม 100 ล้านดอลล่าร์สหรัฐเพื่อต่อสู้กับโรคที่สามารถป้องกันได้ในอัฟกานิสถานและปากีสถาน
มกุฎราชกุมารแห่งรัฐอาบูดาบี ชีค โมฮัมเหม็ด บิน ซาเหย็ด อัลทนะห์ยัน และรองผู้บัญชาการทหารสูงสุดสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ พร้อมกับ บิล เกตส์ ประธานร่วมแห่งมูลนิธิบิลและเมลินดา เกตส์ ประกาศวันนี้ว่าทั้งสองฝ่ายจะดำเนินการร่วมกันเพื่อจัดหาวัคซีนที่ช่วยรักษาชีวิตให้กับเด็กในประเทศอัฟกานิสถานและปากีสถาน โดยความร่วมมือนี้ทั้งสองฝ่ายได้มอบหมายเงินทุนฝ่ายละ 50 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ รวมทั้งสิ้นจำนวน 100 ล้านดอลล่าร์สหรัฐไว้สำหรับจัดซื้อและจัดส่งวัคซีนที่จำเป็นเพื่อช่วยเหลือเด็กชาวอัฟกานิสถานและปากีสถาน และเพื่อป้องกันโรคร้ายตลอดชีวิต
“เด็กในประเทศอัฟกานิสถานและปากีสถานก็เหมือนกับเด็กทั่วๆ ไป ที่ควรมีคุณภาพชีวิตและสุขภาพที่ดี รวมถึงมีโอกาสได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ บุคคล สังคมชุมชน ประเทศชาติ และทุกประเทศจะได้รับประโยชน์ต่างๆ อันเป็นผลมาจากกลุ่มบุคคลเหล่านี้ที่เติบโตขึ้นมาในอนาคตซึ่งได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ” มกุฎราชกุมาร ชีค โมฮัมเหม็ด บิน ซาเหย็ด กล่าว
เด็กๆในประเทศอัฟกานิสถานและปากีสถานติดเชื้อโรคต่างๆ ได้โดยง่ายโดยเฉพาะโรคที่สามารถป้องกันได้ เช่น โปลิโอ โรคปอดบวม ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นทำให้ยากที่จะเข้าถึงเด็กเหล่านั้นได้ ปัญหาดังกล่าวรวมถึงความขัดแย้งในภูมิภาค การให้บริการด้านสุขภาพและการได้รับวัคซีนที่ไม่เท่าเทียมกันในแต่ละจังหวัดของประเทศทั้งสอง ในกรณีของปากีสถาน การฟื้นฟูเป็นไปได้ทีละเล็กทีละน้อยอันเนื่องมาจากผลกระทบจากอุทกภัยเมื่อปีที่ผ่านมา
“วัคซีนจะมีส่วนช่วยป้องกันเด็กๆจากโรคต่างๆ ที่คุกคามชีวิตในวัยเด็ก โดยถือเป็นหนทางที่ดีที่สุดเพื่อให้เด็กๆ มีสุขภาพที่ดีเพื่อเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของพวกเขา” บิล เกตส์กล่าว “ความร่วมมือครั้งนี้เป็นตัวอย่างที่ดีครั้งสำคัญในด้านความร่วมมือระหว่างชุมชนต่างๆ ทั่วโลกเพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดีขึ้น อนาคตที่มั่นคงยิ่งขึ้นให้กับเด็กๆ ครอบครัว และชุมชนของพวกเขาในประเทศอัฟกานิสถานและปากีสถาน”
หนึ่งในสี่คนของเด็กในประเทศอัฟกานิสถานต้องเสียชีวิตลงโดยที่ไม่สามารถมีชีวิตอยู่รอดเพื่อฉลองวันเกิดครบห้าขวบของพวกเขาได้ ทำให้อัตราการตายของเด็กทารกและเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปีในประเทศอัฟกานิสถานมีจำนวนสูงที่สุดในโลก
สองในสามของจำนวนเงินกองทุนทั้งหมดจะมอบให้แก่องค์กร กาวี อัลลายแอนซ์ สำหรับการจัดซื้อและส่งมอบวัคซีนรวมห้าชนิด และสำหรับการแนะนำการใช้วัคซีนใหม่คือวัคซีนนิวโมคอคคัสในประเทศอัฟกานิสถาน ซึ่งวัคซีนเหล่านี้สามารถปกป้องกันเด็กๆ จากโรคที่มักคร่าชีวิตเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปีได้ รวมถึงโรคปอดบวม โรคคอตีบ โรคไอกรน โรคบาดทะยัก โรคตับอักเสบบี และโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากชนิด B (HiB) ซึ่งก่อให้เกิดอาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
จำนวนเงินที่เหลือจากเงินกองทุนอีก 34 ล้านดอลล่าร์จะมอบให้กับองค์การอนามัยโลก และองค์กรยูนิเซฟ เพื่อจัดส่งวัคซีนโปลิโอไปให้แก่ประเทศอัฟกานิสถาน แม้ว่าโรคโปลิโอจะมีอัตราลดลงถึง 99 เปอร์เซ็นต์ทั่วโลกในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา แต่สำหรับชาวอัฟกานิสถานและปากีสถานยังคงเป็นสองในสี่ประเทศที่การแพร่ระบาดของโรคโปลิโอยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันนี้ ได้เกิดวงจรการติดเชื้อใหม่ของโรคนี้อีกครั้งท่ามกลางประชากรของทั้งสองประเทศนี้
ทางองค์กรจะสรุปผลในการฉีดวัคซีนป้องกันโรคที่สามารถทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ 6 โรคให้แก่เด็กจำนวนประมาณ 5 ล้านคนในประเทศอัฟกานิสถาน และช่วยให้เจ้าหน้าที่ขององค์การอนามัยโลกและองค์กรยูนิเซฟจัดส่งวัคซีนโปลิโอชนิดหยอดให้แก่เด็กประมาณ 35 ล้านคนในประเทศอัฟกานิสถานและปากีสถาน
สำหรับรูปภาพประกอบและข้อมูลเกี่ยวกับงานของมูลนิธิ กรุณาเยี่ยมชมได้ที่
http://www.gatesfoundation.org/press-room/Pages/news-market.aspx
มูลนิธิ บิล และเมลินดา เกตส์
จากความเชื่อที่ว่ามนุษย์ทุกคนมีคุณค่าเท่าเทียมกัน ทำให้มูลนิธิบิลและเมลินดา เกตส์ได้รับการสถาปนาขึ้นมาเพื่อช่วยให้ประชาชนทุกคนมีสุขภาพที่ดีและชีวิตที่อุดมสมบูรณ์ สำหรับในประเทศที่กำลังพัฒนานั้น ทางมูลนิธิมุ่งเน้นเรื่องของการพัฒนาสุขภาพของประชากรและช่วยให้พวกเขาหลุดพ้นจากความหิวโหยและความยากจน สำหรับในประเทศสหรัฐอเมริกา ทางมูลนิธิพยายามที่จะเข้าถึงประชากรที่ขาดโอกาสและขาดแคลน ให้มีโอกาศได้รับการศึกษาและการใช้ชีวิตที่ดีอย่างเต็มที่ มูลนิธิฯ มีตั้งอยู่ ณ เมืองซีแอตเติ้ล และรัฐวอชิงตัน ดำเนินงานโดยผู้บริหารสูงสุด นายเจฟพ์ รายเคส และนาย วิลเลี่ยม เอช. เกตส์ ซีเนียร์ ผู้บริหารร่วม ภายใต้การควบคุมงานของนายบิลและนางเมลินดา เกตส์ และนายวอร์เรน บัพเฟตต์ ดูเพิ่มเติมได้ที่
http://www.gatesfoundation.org หรือเข้าร่วมสนทนาได้ที่ Facebook http://www.facebook.com/billmelindagatesfoundation ) และ Twitter ( http://twitter.com/gatesfoundation )
การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ต่อประเทศอัฟกานิสถานและปากีสถาน
อัฟกานิสถาน
ในปี 2009 เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง ความรุนแรง ความยากจนที่เพิ่มมากขึ้น ปัญหาความด้อยพัฒนาอย่างต่อเนื่องและภัยพิบัติทางธรรมชาติ อาทิ แผ่นดินไหวและน้ำท่วม ส่งผลให้ประเทศอัฟกานิสถานเกิดภาวะขาดแคลนอาหารที่จำเป็นอย่างรุนแรง จากการประเมินความเสี่ยงและข้อบกพร่องในระดับชาติเมื่อปี 2007-2008 นั้น พบว่า ประชากรจำนวน 7.4 ล้านคน ซึ่งถือเป็นหนึ่งส่วนสามของจำนวนประชากรทั้งหมด ไม่ได้รับอาหารอย่างเพียงพอเพื่อการมีชีวิตอยู่อย่างมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงได้
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้มอบเงินช่วยเหลือจำนวนมากกว่า 1.26 พันล้านดีแรห์ม (343.4 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ)ในการช่วยเหลือให้แก่ประเทศอัฟกานิสถานเมื่อปี 2009 โดยคิดเป็นร้อยละ 14 ของจำนวนเงินรวมทั้งหมดที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้ให้ความช่วยเหลือแก่ต่างประเทศในปีนั้น แม้ว่าจำนวนผู้บริจาคของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ยังคงมีอยู่ในประเทศอัฟกานิสถาน แต่เกือบร้อยละ 73 ของเงินช่วยเหลือ (918.3 ล้านดีแรห์ม) อยู่ในรูปของเงินทุนที่ดำเนินการโดยกองทุนอาบู ดาบีเพื่อการพัฒนา ซึ่งเงินส่วนมากนั้น (863.2 ล้านดีแรห์ม) ถูกนำไปใช้จ่ายในการก่อสร้าง และส่วนที่เหลือนำไปใช้จ่ายเกี่ยวกับการคมนาคมและจัดเก็บไว้ เงินจำนวน 26.8 ล้านดีแรห์มใช้ไปกับระบบโครงสร้างพื้นฐานและการบริการทางสังคม
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ยังคงให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่สำคัญในประเทศอัฟกานิสถานต่อไป โดยดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2003 ผ่านองค์กรต่างๆ เช่น องค์การพระจันทร์เสี้ยว สำหรับเงินบริจาคจำนวนมากจากประชาชนในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และอาสาสมัครได้นำไปช่วยเหลือการก่อสร้างดังต่อไปนี้
- โรงเรียน 11 แห่งที่สามารถรองรับนักเรียนได้ 300 คนต่อวัน
- คลินิคทางการแพทย์ 6 แห่งซึ่งรักษาคนไข้ชาวอัฟกานิสถานได้จำนวน 35,000 ราย
- มหาวิทยาลัยซาเหย็ดประเทศอัฟกานิสถาน มีนักศึกษาจำนวน 6,400 คนต่อปี
- โรงพยาบาลหลักที่รองรับคนไข้ได้จำนวน 7,000 คนต่อปี
- มัสยิด 38 แห่งโดยแต่ละแห่งรองรับพิธีสวดมากกว่า 300 คน
- ห้องสมุดสาธารณะทั่วไปที่รองรับนักเรียนและผู้เยี่ยมชมทั่วไปมากกว่า 400 คนต่อวัน
- ที่พักอาศัยในเมืองซาเย็ดสำหรับครอบครัวผู้ไร้ที่อยู่จำนวน 200 ครอบครัว
- บ่อน้ำดื่มสะอาด 160 แห่ง
ปากีสถาน
เมื่อปี 2009 ประชาชนเกือบ 2 ล้านคนต้องอพยพหนีออกจากหมู่บ้านสวอท ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเขตวาซิริสถาน และพื้นที่ในจังหวัดอื่นๆ ในเขตชายแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศปากีสถาน อันเนื่องมาจากการปะทะกันระหว่างกองทัพปากีสถานและกลุ่มตาลีบัน นอกจากนี้ ประชากร 20 ล้านคนกลายเป็นผู้ไร้ที่อยู่อาศัยจากเหตุอุทกภัยที่เขตปัญจาบ ทางตะวันออกฉียงเหนือของประเทศปากีสถาน
ความต้องการของประชากรชาวปากีสถานมีมากเกินความสามารถในการรับมือของรัฐบาลปากีสถาน จึงทำให้เกิดแรงขับเคลื่อนที่สำคัญจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ต้องดำเนินการอย่างหนึ่งเพื่อให้การช่วยเหลือ โดยรวมแล้วประเทศปากีสถานได้รับเงินช่วยเหลือบริจาคเป็นจำนวน 1.60 พันล้านจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ นอกจากนี้ กองทัพของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ยังได้ส่งเครื่องบินชีนุก จำนวน 3 ลำเพื่อให้การช่วยเหลือและดำเนินการเข้าถึงพื้นที่ที่ห่างไกลในประเทศปากีสถานซึ่งได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม
รัฐบาลยังได้มอบเงินช่วยเหลือจำนวน 998.5 ล้านดีแรห์ม ให้แก่กองทุนอาบู ดาบีเพื่อการพัฒนา เพื่อตอบสนองต่อโครงการที่รัฐบาลของประเทศปากีสถานนำเสนอขึ้นมา และจากความช่วยเหลือดังกล่าว ทำให้จำนวนเงินมากกว่าครึ่งถูกนำไปใช้จ่ายเกี่ยวกับโครงการด้านสุขภาพ และจำนวนหนึ่งในสามนั้นถูกนำไปช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรม และอีกส่วนนำไปใช้จ่ายเกี่ยกับการตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉิน การก่อสร้างใหม่ และการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับภัยต่างๆ
มูลนิธิคาลิฟะห์ได้สนับสนุนเงินจำนวนหนึ่งเพื่อความต้องการเร่งด่วนของผู้อพยพ อีกทั้งยังช่วยเหลือเงินเป็นจำนวนมากกว่า 55.1 ล้านดีแรห์มให้แก่สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) โดยเงินก้อนดังกล่าวได้ถูกนำไปใช้เป็นที่เรียบร้อยแล้วในช่วงระหว่างปีดังกล่าว
ต่อมา รัฐบาลได้สนับสนุนเงินจำนวน 590.6 ล้านดีแรห์มในช่วงระหว่างปีนั้น ซึ่งมากกว่าสองในสามส่วนของโครงการสุขอนามัยโดยตรง นอกจากนี้ องค์กรพระจันทร์เสี้ยวแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ยังได้ร่วมสนับสนุนเงินจำนวนกว่า 20.5 ล้านดีแรห์มอีกด้วย
แหล่งข้อมูล มูลนิธิ บิลและเมลินดา เกตส์
ติดต่อ: มูลนิธิบิล และเมลินดา เกตส์ media@gatesfoundation.org
โทร. +1-206-709-3400; Simon.pearce@eaa.gov.ae, โทร. +971-50-8181-627
AsiaNet 43015
-- เผยแพร่โดย เอเชียเน็ท ( www.asianetnews.net ) --