เครื่องมือวินิจฉัยระดับโมเลกุล m2000(TM) และนวัตกรรมตรวจวัดปริมาณไวรัส RealTime HIV-1 ของแอ๊บบอต คว้ารางวัลชิคาโก อินโนเวชั่น อวอร์ด

ข่าวต่างประเทศ Wednesday October 24, 2007 08:55 —Asianet Press Release

แอ๊บบอต ปาร์ค, อิลลินอยส์--24 ต.ค.--พีอาร์นิวไวร์-เฟิร์สคอล-เอเชียเน็ท/อินโฟเควสท์
นวัตกรรมของแอ๊บบอตได้รับรางวัลทรงเกียรตินี้เป็นครั้งที่สามในรอบห้าปี
แอ๊บบอต (NYSE: ABT) ได้รับรางวัล ชิคาโก อินโนเวชั่น อวอร์ด ประจำปีนี้ (2007 Chicago Innovation Award) สำหรับเครื่องมือ m2000(TM) ซึ่งเป็นเครื่องมือวินิจฉัยระดับโมเลกุล (www.abbott.com/global/url/content/en_US/60.15:15/feature/Feature_0021.htm ) และ RealTime HIV-1 ซึ่งเป็นการทดสอบที่ละเอียดอ่อนมากที่สุดสำหรับการตรวจวัดปริมาณเชื้อไวรัส HIV ทุกสายพันธุ์ได้อย่างแม่นยำ
ในเดือนพฤษภาคม 2550 การทดสอบ RealTime HIV-1 ของแอ๊บบอต ได้รับอนุญาตให้ใช้ในสหรัฐอเมริกาได้ และได้รับการรับรองให้ทำงานบนระบบ m2000 โดย RealTime HIV-1 เป็นการทดสอบหาเชื้อไวรัสชนิดเดียวที่สามารถตรวจพบและวัดสายพันธุ์ของเชื้อ HIV-1 ทั้ง กลุ่ม M กลุ่ม N และกลุ่ม O รวมทั้งเชื้อไวรัส non-B subtype ผลิตภัณฑ์นี้ทำให้แพทย์มีวิธีการทดสอบที่รวดเร็วและมีความแม่นยำสูง เพื่อช่วยให้แน่ใจว่าผู้ป่วยจะได้รับการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
ทั้งนี้ นับเป็นเป็นครั้งที่สามในรอบห้าปีที่แอ๊บบอตได้รับเกียรติเป็นผู้รับรางวัลชิคาโก อินโนเวชั่น อวอร์ด โดยในปีพ.ศ.2548 PathVysion(TM) (http://www.pathvysion.com ) ซึ่งเป็นชุดตรวจสอบมะเร็งเต้านมของบริษัทได้รับรางวัลดังกล่าว และในปีพ.ศ.2545 HUMIRA(TM) (http://humira.com) ซึ่งเป็นยา (human monoclonal antibody drug) รักษาโรคไขข้ออักเสบตัวแรก ก็ได้รับรางวัลนี้ด้วยเช่นกัน
"ที่แอ๊บบอต เราทำธุรกิจด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต ซึ่งบ่อยครั้งที่ได้ช่วยชีวิตผู้คนจำนวนมาก สิ่งนี้ถือเป็นแรงจูงใจที่สำคัญในการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ" ไมลส์ ดี. ไวท์, ประธาน และซีอีโอของแอ๊บบอตกล่าว "ผู้ป่วยพึ่งพาเราให้คิดค้นยาใหม่ๆที่มีประสิทธิภาพดีขึ้นกว่าเดิม รวมไปถึงการวินิจฉัยและโภชนาการต่างๆ อีกทั้งผู้ป่วยยังเป็นแรงบันดาลใจให้นักวิทยาศาสตร์ของเราในทุกวันนี้ m2000 และการตรวจหาปริมาณเชื้อไวรัส HIV-1 ตลอดจน PathVysion และ HUMIRA เป็นเพียงตัวอย่างเพียงเล็กน้อยที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถด้านการวิจัยของแอ๊บบอตในการหาวิธีตอบสนองความต้องการทางการแพทย์ที่ยังไม่มีใครค้นพบ"
รางวัล ชิคาโก อินโนเวชั่น อวอร์ด ได้รับการสนับสนุนโดย Kuczmarski and Associates และ the Chicago Sun-Times โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้เกิดการรับรู้ถึงความทุ่มเทช่วยเหลือที่บริษัทต่างๆในชิคาโกได้มีส่วนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่เปลี่ยนแปลงโลกได้ แอ๊บบอต และผู้ได้รับรางวัลรายอื่นๆ จะร่วมพิธีมอบรางวัลซึ่งจะจัดขึ้นในคืนนี้ ที่โรงละครกู๊ดแมน โดยมีผู้บริหารและผู้นำของบริษัทต่างๆ ในท้องถิ่น สถานศึกษา และรัฐบาลเข้าร่วมงานราว 400 ราย
เกี่ยวกับ การทดสอบ RealTime HIV-1 และเครื่องมือ m2000 ของแอ๊บบอต
นับตั้งแต่บริษัทเปิดตัวเครื่องมือวินิจฉัยเชื้อไวรัส HIV สู่ท้องตลาดเป็นครั้งแรกในปีพ.ศ. 2528 หน่วยงานด้านสาธารณสุขก็รู้สึกเป็นกังวลเกี่ยวกับความสามารถของเชื้อไวรัสในการกลายพันธุ์และสร้างสายพันธุ์ใหม่ๆ ที่สามารถเล็ดลอดการตรวจค้นไปได้ การรักษาโรค HIV ที่ดีที่สุดขึ้นอยู่กับการวัดระดับของเชื้อไวรัสได้อย่างแม่นยำ แต่หากไม่สามารถตรวจพบเชื้อ subtype ที่แปรผันได้ การรักษาด้วยยาก็อาจจะไม่มีประสิทธิภาพ
แม้ในสหรัฐอเมริกาจะไม่มีไวรัสหลายสายพันธุ์ดังเช่นที่พบในประเทศอื่นๆ แต่การศึกษาใหม่ๆ ได้บ่งชี้ว่าการหลั่งไหลเข้าประเทศของผู้อพยพจากพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลกที่มีการตรวจพบสายพันธุ์เหล่านี้ ทำให้มีผู้ป่วยจำนวนมากขึ้นที่ติดเชื้อ HIV สายพันธุ์ที่หลากหลายออกไป
"นักวิทยาศาสตร์ของเราซึ่งมีประสบการณ์มากกว่า 20 ปีในการตรวจหาเชื้อ HIV ระบุถึงพื้นที่เฉพาะของการต้านการกลายพันธุ์กลุ่มยีนต่างๆ ของเชื้อ HIV และสามารถพัฒนาการตรวจวัดปริมาณเชื้อไวรัส HIV ทุกสายพันธุ์ได้เป็นรายแรกและรายเดียว" ดร. จอห์น โรบินสัน ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยและพัฒนาของแอ๊บบอต โมเลกูลาร์กล่าว
การทดสอบ RealTime HIV-1 ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อตรวจสอบการทำนายอาการของโรค และเพื่อช่วยในการประเมินการตอบสนองของเชื้อไวรัสต่อการรักษาด้วยยาต้านไวรัส
การวัดปริมาณระดับ HIV-1 ในเลือดนั้น มีส่วนช่วยให้สามารถเข้าใจกระบวนการของการติดเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคต่างๆ ได้อย่างมาก นอกจากนี้ยังเป็นตัวแปรสำคัญในการทำนายอาการและการจัดการของการติดเชื้อ HIV ในรูปแบบต่างๆ ทั้งนี้ การตรวจสอบระดับพลาสมาหรือปริมาณเชื้อไวรัส, การนับเซลล์ CD4-T และเงื่อนในการรักษาของผู้ป่วย จะสามารถชี้แนะการตัดสินใจว่าจะเริ่มต้นหรือเปลี่ยนแปลงการรักษา โดยเป้าหมายในการรักษาคือเพื่อลดเชื้อไวรัสในพลาสมาที่ต่ำกว่าระดับที่สามารถตรวจพบได้
แอ๊บบอตได้พัฒนา RealTime HIV-1 ขึ้นโดยมีเป้าหมายเพื่อให้ใช้ร่วมกับการรักษาทางคลินิกและใช้กับเครื่องมือทดลองอื่นๆ ในฐานะตัวบ่งชี้การทำนายอาการของโรค และเพื่อช่วยประเมินการตอบสนองของเชื้อไวรัสต่อการรักษาด้วยยาต้านไวรัส โดยการวัดการเปลี่ยนแปลงระดับ HIV-1 RNA ในพลาสมา การทดสอบนี้ไม่ได้พัฒนาขึ้นเพื่อใช้ทดสอบเชื้อ HIV-1 ของผู้บริจาค หรือเพื่อยืนยันการติดเชื้อ HIV-1
การทดสอบ RealTime HIV-1 ทำงานบน m2000 ของแอ๊บบอต ซึ่งเป็นระบบอัตโนมัติที่ใช้ปฏิกิริยาลูกโซ่โพลีเมเรส (polymerase chain reaction - PCR) แบบเรียลไทม์ เพื่อขยาย ตรวจจับ และวัดระดับของเชื้อไวรัสในตัวอย่างเลือด Real-time PCR จะช่วยให้สามารถผลิต DNA ได้เป็นจำนวนมากในระยะเวลาสั้นๆ จากตัวอย่างเพียงเล็กน้อย ซึ่งทำให้เป็นไปได้ที่จะตรวจพบเชื้อไวรัสที่มีระดับต่ำมากๆ
"เครื่องมือ m2000 เมื่อรวมกับการทดสอบ HIV-1 และซอฟท์แวร์ที่พัฒนาโดยแอ๊บบอต ทำให้การทดลองทางคลีนิคสามารถวัดระดับเชื้อไวรัสที่เล็กมากๆ ในตัวอย่างเลือดของผู้ป่วยได้โดยอัตโนมัติและรวดเร็ว ทำให้ห้องทดลองสามารถส่งผลการทดสอบที่มีความแม่นยำสูงในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง" สก็อต ซาฟาร์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายพัฒนาระบบและการสนับสนุนของแอ๊บบอต โมเลกูลาร์ กล่าว
เกี่ยวกับ พาธวิชั่น
พาธวิชั่น (PathVysion) คือเครื่องมือตรวจวินิจฉัยผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านม ซึ่งแพทย์จะได้รับข้อมูลทางพันธุกรรมที่ช่วยให้คาดคะเนได้ว่าวิธีการรักษามะเร็งแบบใดที่จะใช้ได้ผลกับผู้ป่วยแต่ละราย โดย PathVysion fluorescence in situ hybridization (FISH) เป็นเทคโนโลยีการวัดตัวเลขจากสำเนาของยีน HER-2 ในระดับ DNA โดยใช้สีที่เรืองแสงและกล้องจุลทรรศน์ แพทย์จะสามารถนับจำนวนของยีน HER-2 ที่มีอยู่ในนิวเคลียสของเซลล์ได้ ผลที่ได้จากพาธวิชั่นจะนำไปใช้เป็นตัวช่วยเพื่อเลือกยีนที่มีประสิทธิภาพสำหรับการรักษาด้วยโมโนโคลนอล Herceptin(R) (trastuzumab) และนำไปใช้เป็นส่วนเสริมข้อมูลสำหรับการรักษาทางคลินิกและพยาธิวิทยาซึ่งปัจจุบันใช้เป็นปัจจัยการทำนายอาการในผู้ป่วยมะเร็งเต้านมกลุ่มที่มีการแพร่กระจายของมะเร็งไปต่อมน้ำเหลือง (node-positive) ในระยะที่ 2 นอกจากนี้ ชุดพาธวิชั่นยังเป็นตัวช่วยในการทำนายการปลอดโรค และการรอดชีวิตโดยรวมของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมกลุ่ม node-positive ในระยะที่ 2 ที่ได้รับการรักษาแบบเคมีบำบัดด้วยยา cyclophosphamide, doxorubicin และ 5-fluorouracil (CAF)
เกี่ยวกับ ธุรกิจการวินิจฉัยระดับโมเลกุลของแอ๊บบอต
แอ๊บบอต โมเลกูล่าร์ (Abbott Molecular) เป็นหน่วยงานหนึ่งของแอ๊บบอต ตั้งอยู่ที่ เดส แพลนส์ รัฐอิลลินอยส์ ก่อตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นผู้นำในการวินิจฉัยโรคในระดับโมเลกุล กล่าวคือการวิเคราะห์ DNA, RNA และโปรตีนต่างๆ ที่ระดับโมเลกุล เครื่องมือและการทดสอบโมเลกุลของแอ๊บบอตทำให้แพทย์ได้รับข้อมูลสำคัญๆ บนพื้นฐานของการค้นพบเชื้อโรคหรือสิ่งที่ทำให้เกิดโรคตั้งแต่เนิ่นๆ เว้นเสียแต่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับยีนส์และโครโมโซมของผู้ป่วย ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ช่วยให้แพทย์วินิจฉัยโรคและการติดเชื้อต่างๆ ได้เร็วขึ้น เลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม และเฝ้าติดตามสังเกตการพัฒนาของโรคได้ นอกจากการตรวจหาปริมาณไวรัส RealTime HIV-1 และ m2000 ของแอ๊บบอตแล้ว ผลิตภัณฑ์วินิจฉัยระดับโมเลกุลของแอ๊บบอตยังรวมถึงนวัตกรรมในการทดสอบกลุ่มยีนในเซลล์ (genomic tests) เพื่อการเปลี่ยนแปลงโครโมโซมที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติแต่กำเนิดและมะเร็ง
เกี่ยวกับ ฮูไมร่า
ฮูไมร่า (HUMIRA) ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) ว่าสามารถลดระดับสัญญาณและอาการต่างๆ รวมถึงการตอบสนองต่อการรักษาทางคลินิกที่สำคัญ การยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นกับร่างกาย และปรับปรุงการทำงานของร่างกายในผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่มีอาการโรคไขข้ออักเสบเรื้อรังระดับกลางถึงรุนแรง
ฮูไมร่าถูกนำไปใช้ในการลดสัญญาณ และอาการเรื้อรังต่างๆ ยับยั้งการเสียหายของร่างกาย และปรับปรุงการทำงานของร่างกายในผู้ป่วยที่เป็นโรคเรื้อนกวาง ทั้งนี้ สามารถใช้ฮูไมร่าเดี่ยวๆ หรือใช้ร่วมกับยา methotrexate หรือ ยาต่อต้านอาการโรคไขข้อ (DMARDs) นอกจากนี้ ฮูไมร่า ยังได้รับการยอมรับในการลดระดับสัญญาณ และอาการต่างๆในผู้ป่วยที่มีอาการโรคกระดูกสันหลังอักเสบเรื้อรังด้วย
เมื่อต้นปีนี้ ฮูไมร่าได้รับการยอมรับว่าสามารถลดระดับสัญญาณและอาการต่างๆ และรักษาอาการทางคลินิกในผู้ใหญ่ที่เป็นโรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรังระดับกลางถึงรุนแรง ผู้ที่มีการตอบสนองที่ไม่เหมาะสมต่อการรักษาตามปกติ (conventional therapy) การลดระดับสัญญาณ และอาการต่างๆ รวมถึงรักษาอาการทางคลินิกในผู้ป่วยที่มีเป็นโรค ถ้าพวกเขาไม่มีการตอบสนองต่อ หรือ ทนไม่ได้ต่ออาการของ infliximab
สำหรับการทดลองทางคลินิกที่กำลังทำอยู่ในปัจจุบันนี้ เป็นการประเมินโอกาสที่จะนำ ฮูไมร่า ไปใช้เป็นสารกดภูมิต้านทานอื่นๆ
ข้อมูลสำคัญเพื่อความปลอดภัยในการใช้ยาฮูไมร่า
มีรายงานเกี่ยวกับการใช้ยาในกลุ่ม TNF-blocking agents ซึ่งรวมถึงฮูไมร่า ว่าอาจทำให้เกิดการติดเชื้ออย่างรุนแรง การติดเชื้อแบคทีเรีย การติดเชื้อวัณโรค และการติดเชื้ออื่นๆ ซึ่งอาจถึงแก่ชีวิตได้ การติดเชื้ออย่างรุนแรงในหลายกรณีเกิดขึ้นกับผู้ป่วยที่ใช้ยากดระบบภูมิคุ้มกัน (immunosuppressive agents) อื่นๆร่วมด้วย ซึ่งโรคต่างๆ ที่แฝงอยู่อาจทำให้พวกเขาเกิดการติดเชื้อได้ นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่ได้รับยาฮูไมร่าเพียงอย่างเดียวก็อาจติดเชื้อได้เช่นกัน การรักษาด้วยยาฮูไมร่าไม่ควรเริ่มใช้กับผู้ป่วยที่มีการติดเชื้ออยู่ ยากลุ่ม TNF-blocking ซึ่งรวมถึง ฮูไมร่า ทำงานเกี่ยวข้องกับ reactivation of hepatitis B (HBV) ในผู้ป่วยที่เป็นพาหะนำเชื้อไวรัสนี้ ซึ่งบางกรณีอาจถึงแก่ชีวิตได้ ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HBV ควรได้รับการประเมินหาหลักฐานการการติดเชื้อ HBV ก่อนที่จะใช้ยาฮูไมร่า เราไม่แนะนำให้ใช้ยาฮูไมร่า ร่วมกับยา anakinra และ ผู้ป่วยที่ใช้ฮูไมร่าไม่ควรได้รับวัคซีนเชื้อเป็น (live vaccine)
ทั้งนี้ มีการสังเกตพบเนื้อร้ายมากกว่าในผู้ป่วยที่ได้รับยากลุ่ม TNF-blocking ซึ่งรวมถึงยาฮูไมร่า เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ป่วยที่ได้รับการควบคุมในการทดลองทางคลีนิค เนื้อร้ายเหล่านี้ นอกเหนือจากมะเร็งต่อมน้ำเหลืองและมะเร็งผิวหนังชนิด non-melanoma มีความคล้ายคลึงกันในแง่ของชนิดและจำนวนที่คาดว่าจะเกิดในประชาชนทั่วไป โดยพบการเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในอัตราสูงกว่า 3.5 เท่าในการทดลองยาฮูไมร่าทางคลีนิคทั้งที่มีการควบคุมและไม่ควบคุมปริมาณยา ทั้งนี้ ยังไม่มีรายงานว่าการใช้ยากลุ่ม TNF-blocking ทำให้เกิดการพัฒนาของเนื้อร้ายหรือไม่ อย่างไรก็ดี มีการตรวจพบที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยนักว่า ยากลุ่ม TNF-blocking ซึ่งรวมถึงฮูไมร่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคเกี่ยวกับกลุ่มอาการทางระบบประสาทและการอาการแพ้อย่างรุนแรง และมีรายงาน
เกี่ยวกับความผิดปกติของเลือดที่เกิดจากการใช้ยากลุ่ม TNF-blocking
มีรายงานว่าผู้ที่ใช้ยากลุ่ม TNF-blocking ซึ่งรวมถึงยาฮูไมร่า เริ่มเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว (CHF) หรือมีอาการรุนแรงขึ้นในผู้ที่มีอาการ CHF อยู่แล้ว การรักษาด้วยยาฮูไมร่าอาจทำให้เกิดการสร้าง autoantibody และอาจเกิดการพัฒนาของโรค lupus-like syndrome เหตุอันตรายที่พบบ่อยที่สุดระหว่างการทดลองทางคลินิกที่มีการควบคุมยาซึ่งไม่มีฤทธิ์ทางยา (Placebo-controlled) ในผู้ใหญ่ที่เป็นโรคไขข้ออักเสบ (ฮูไมร่า เทียบกับ ยาซึ่งไม่มีฤทธิ์ทางยา) ได้แก่ เกิดการตอบสนองบริเวณที่ฉีดยา (20 เปอร์เซนต์ กับ 14 เปอร์เซนต์), เกิดการติดเชื้อในทางเดินหายใจตอนบน (17 เปอร์เซนต์ กับ 13 เปอร์เซนต์) เกิดอาการปวดบริเวณที่ฉีดยา (12 เปอร์เซนต์ กับ 12 เปอร์เซนต์) มีอาการปวดศรีษะ (12 เปอร์เซนต์ กับ 8 เปอร์เซนต์) เกิดผื่นคัน (12 เปอร์เซนต์ กับ 6 เปอร์เซนต์) และมีอาการโพรงจมูกอักเสบ (11 เปอร์เซนต์ กับ 9 เปอร์เซนต์) ซึ่งหลังจากเกิดอาการเหล่านี้ทำให้ต้องเลิกให้ยา คิดเป็น 7 เปอร์เซนต์ สำหรับยาฮูไมร่า และ 4 เปอร์เซ็นต์สำหรับยาซึ่งไม่มีฤทธิ์ทางยา ทั้งนี้ ควรคำนึงถึงข้อดีและข้อเสียของยาฮูไมร่า ก่อนเริ่มการรักษาใดๆก็ตาม
ในการทดลองยาฮูไมร่าทางคลีนิคสำหรับการรักษาโรคกระดูกสันหลังอักเสบเรื้อรัง โรคเรื้อนกวาง และโรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง พบว่าผู้ป่วยมีประวัติการใช้ยาที่ปลอดภัยเช่นเดียวกับผู้ป่วยโรคไขข้ออักเสบที่ใช้ยาฮูไมร่า
เกี่ยวกับ แอ๊บบอต
แอ๊บบอต เป็นบริษัทด้านการดูแลสุขภาพระดับโลกที่อุทิศตัวเพื่อการค้นคว้า การพัฒนา การผลิต และการทำตลาดผลิตยาและเวชภัณฑ์ภัณฑ์ รวมถึงอาหาร อุปกรณ์ และวิธีการวินิจฉัยโรค บริษัทมีพนักงาน 65,000 คน และมีผลิตภัณฑ์จำหน่ายในประเทศต่างๆ มากกว่า 130 ประเทศ
ข่าวสารของแอ๊บบอต และข้อมูลอื่นๆ สามารถหาได้ที่เว็บไซต์ของบริษัทที่ http://www.abbott.com
แหล่งข่าว แอ๊บบอต
ติดต่อ: ดอน บราร์คแมน จาก แอ๊บบอต
โทร +1-847-937-0080
เว็บไซต์: http://www.abbott.com /
--เผยแพร่โดย เอเชียเน็ท ( www.asianetnews.net )--

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ