มักเดอเบิร์ก, เยอรมนี--22 ต.ค.--พีอาร์นิวส์ไวร์ / อินโฟเควสท์
ผู้เขียนรายงานระบุว่า ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วย SIR-Spheres มีระยะเวลาการรอดชีวิตยาวนานกว่าผู้ป่วยที่ได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดมากกว่า 2 เท่า และมากกว่าผู้ป่วยที่ได้รับชีวสารใหม่ตัวอื่นๆ
ผลการศึกษาเปรียบเทียบในผู้ป่วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่เซลล์มะเร็งแพร่กระจายไปยังตับและไม่ตอบสนองต่อการทำเคมีบำบัดใดๆแล้ว พบว่าการอุดเส้นเลือดด้วยรังสีโดยใช้ SIR-Spheres ช่วยให้ผู้ป่วยมีชีวิตรอดยาวนานขึ้นอย่างมาก เมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่ได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดเพียงอย่างเดียว[1]
(โลโก้: http://photos.prnewswire.com/prnh/20121019/568108 )
ผลการศึกษาซึ่งเผยแพร่ทางวารสาร Cardiovascular and Interventional Radiology ฉบับเดือนตุลาคม แสดงให้เห็นว่า ระยะเวลาการรอดชีวิตโดยเฉลี่ยของผู้ป่วยที่ได้รับการอุดเส้นเลือดด้วยรังสีร่วมกับการได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด เทียบกับผู้ป่วยที่ได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดเพียงอย่างเดียว อยู่ที่ 8.3 เดือน ต่อ 3.5 เดือน (hazard ratio [HR] 0.26; 95% confidence interval 0.15-0.48; P200 U/mL) จุดยุติปฐมภูมิ (primary endpoint) ของการศึกษาครั้งนี้คือ ระยะเวลาการรอดชีวิตโดยรวม
หลังได้รับการอุดเส้นเลือดด้วยรังสี ผู้ป่วย 12 คน (41.4%) มีการตอบสนองบางส่วน และอีก 5 คน (17.2%) โรคคงที่ ดังนั้นอัตราการควบคุมโรคจึงอยู่ที่ 58.6% สำหรับระยะเวลาการรอดชีวิตโดยที่โรคไม่ลุกลามอยู่ที่ 5.5 เดือนในกลุ่มที่ได้รับการอุดเส้นเลือดด้วยรังสี เทียบกับ 2.1 เดือนในกลุ่มที่ได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดเพียงอย่างเดียว การอุดเส้นเลือดด้วยรังสีส่งผลข้างเคียงเล็กน้อยถึงปานกลาง โดยเกิดขึ้นชั่วคราวและสามารถหายได้เอง
“ผลการศึกษาครั้งนี้สอดคล้องกับผลการศึกษาครั้งก่อนๆ ที่มีการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งตับที่ลุกลามมาจากลำไส้ใหญ่และไม่ตอบสนองต่อการทำเคมีบำบัด ด้วยการอุดเส้นเลือดด้วยรังสี” ดร.ริคาร์ดา เซย์เดนสติกเกอร์ (Dr Ricarda Seidensticker) แพทย์ที่ปรึกษาด้านรังสีวิทยาและหัวหน้าผู้เขียนรายงาน กล่าว “นี่เป็นการศึกษาเปรียบเทียบการอุดเส้นเลือดด้วยรังสีครั้งแรกที่ใช้ระยะเวลาการรอดชีวิตโดยรวมเป็นจุดยุติปฐมภูมิ และออกแบบอิงจริยธรรมโดยหลีกเลี่ยงการทดลองแบบข้ามกลุ่มในผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษา ซึ่งมักทำให้การทดลองไม่สามารถแสดงความแตกต่างของการรอดชีวิตได้อย่างเต็มที่ ผลการศึกษานี้ยังถูกเปรียบเทียบกับการศึกษาล่าสุดหลายครั้งที่มีการใช้ชีวสารใหม่ในการรักษาโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่มีการแพร่กระจาย ตัวอย่างเช่น ในการทดลองแบบสุ่มโดยใช้ยา cetuximab พบว่าระยะเวลาการรอดชีวิตโดยรวมอยู่ที่ 6.1 เดือน เมื่อเทียบกับ 4.6 เดือนในกลุ่มที่ได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดเพียงอย่างเดียว และในการทดลองลักษณะเดียวกันกับยา panitumumab พบว่าระยะเวลาการรอดชีวิตโดยรวมอยู่ที่ 6.4 เดือน เท่ากับในกลุ่มที่ได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดและได้รับยา panitumumab หลังจากที่มีการลุกลามของโรค”
ปัจจุบันมีการทดลองแบบสุ่มระดับนานาชาติหลายการทดลองที่มีการประเมินประสิทธิภาพของการอุดเส้นเลือดด้วยรังสีโดยใช้ SIR-Spheres ร่วมกับการทำเคมีบำบัด ในผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งตับซึ่งลุกลามจากมะเร็งลำไส้ใหญ่ เทียบกับการการทำเคมีบำบัดอย่างเดียว เพื่อประเมินว่าวิธีนี้ควรถูกนำมาใช้รักษาผู่ป่วยตั้งแต่แรกเริ่มหรือไม่
เกี่ยวกับมะเร็งลำไส้ใหญ่
ในปี 2551 ผู้ป่วย 153,000 คนในสหรัฐอเมริกา และ 333,000 คนในสหภาพยุโรป ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่[2] ราวครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยเหล่านี้จะมีภาวะเซลล์มะเร็งแพร่กระจายจากจุดที่เกิดมะเร็งไปยังจุดอื่นๆ โดยเฉพาะตับ และผู้ป่วยราว 90% จะเสียชีวิตจากภาวะตับวาย อันเป็นผลมาจากการแพร่กระจายของมะเร็ง ทั้งนี้ การอุดเส้นเลือดด้วยรังสี หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่าการบำบัดด้วยการนำรังสีเข้าสู่ร่างกายเฉพาะจุด (Selective Internal Radiation Therapy: SIRT) เป็นการรักษาโรคมะเร็งตับแบบใหม่โดยใช้ microspheres ที่ถูกฉลากด้วยสารกัมมันตรังสี yttrium-90 (90Y) แพทย์รังสีวิทยาจะฝัง microspheres ในร่างกายตรงจุดที่เกิดมะเร็ง และ microspheres จะแผ่รังสีไปที่มะเร็งโดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อตับที่ดีที่ยังเหลืออยู่
ศูนย์การแพทย์ 3 แห่งที่มีส่วนร่วมในการศึกษา (และควบคุมการคัดกรองผู้ป่วย) ประกอบด้วย
- โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยมักเดอเบิร์ก ประเทศเยอรมนี / Universitatsklinikum Magdeburg (n = 348)
- โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเบอร์ลิน วิทยาเขต Charite ประเทศเยอรมนี / Universitatsmedizin Berlin (n = 120)
- โรงพยาบาลมักเดอเบิร์ก ประเทศเยอรมนี / Klinikum Magdeburg (n = 86)
SIR-Spheres ได้รับการรับรองให้ใช้ในออสเตรเลีย สหภาพยุโรป (มาตรฐาน CE) นิวซีแลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ ตุรกี และอีกหลายประเทศ สำหรับรักษามะเร็งตับที่เฉือนเนื้อร้ายทิ้งไม่ได้
นอกจากนั้น SIR-Spheres ยังได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาสหรัฐ สำหรับใช้รักษามะเร็งตับที่ลุกลามจากมะเร็งลำไส้ใหญ่และผ่าตัดเฉือนเนื้อร้ายไม่ได้ ร่วมกับการทำเคมีบำบัดหลอดเลือดในตับโดยใช้ floxuridine
อ้างอิง
1. Seidensticker R, Denecke T, Kraus P et al. Matched-pair comparison of radioembolization plus best supportive care versus best supportive care alone for chemotherapy refractory liver-dominant colorectal metastases. Cardiovascular and Interventional Radiology 2012; 35(5): 1066-1073.
2. International Agency for Research on Cancer. GLOBOCAN 2008: Colorectal Cancer Incidence and Mortality Worldwide in 2008. http://globocan.iarc.fr/factsheets/cancers/colorectal.asp accessed 12/8/2011.
แหล่งข่าว: มหาวิทยาลัยมักเดอเบิร์ก