นิวยอร์ก--24 ก.ย.--พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์
- ผลจากความพยายามด้านสภาพภูมิอากาศของทุกเมือง อาจเทียบเท่ากับการลดปริมาณการใช้ถ่านหินรายปีทั่วโลกลงมากกว่าครึ่งหนึ่ง
- การพิจารณาถึงศักยภาพของเมืองจะช่วยให้ชาติต่างๆ กำหนดเป้าหมายเพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในเชิงรุกได้มากกว่าที่ดำเนินการอยู่
นายไมเคิล อาร์. บลูมเบิร์ก ผู้แทนพิเศษแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ฝ่ายเมืองและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และประธานกลุ่ม C40 Cities Climate Leadership Group (C40) (กลุ่มเมืองใหญ่ผู้นำด้านสภาพภูมิอากาศ) พร้อมด้วยนายเอดูอาร์โด ปาเอส นายกเทศมนตรีรีโอเดจาเนโร เปิดเผยผลการวิจัยใหม่ที่แสดงให้เห็นว่า หากทุกเมืองดำเนินความพยายามครั้งใหม่ในเชิงรุก เพื่อลดการใช้พลังงานในการก่อสร้าง การคมนาคมขนส่ง และการกำจัดสิ่งปฏิกูล ก็มีความเป็นไปได้ว่าเมืองเหล่านี้อาจสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ได้เพิ่มอีกปีละ 3.7 กิกะตัน (Gt) คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO2e) ภายในปีพ.ศ. 2573 ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายในนโยบายแห่งชาติ และการดำเนินการในปัจจุบันเพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว โดยภายในปี 2593 หลายเมืองอาจสามารถลดการปล่อยก๊าซ GHG ลงได้อีกปีละ 8.0 Gt CO2e ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายในนโยบายระดับชาติที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน และเทียบเท่ากับการลดปริมาณการใช้ถ่านหินรายปีทั่วโลกลงมากกว่าครึ่งหนึ่ง ทั้งนี้ เมื่อรวมกันแล้ว เมืองต่างๆจึงมีศักยภาพในการลดการปล่อยก๊าซได้มากกว่า 140 Gt CO2e ภายในปี 2593
รายงานของผู้แทนพิเศษบลูมเบิร์กต่อเลขาธิการสหประชาชาติ ได้นำเสนอผลการวิจัยใหม่นี้ ภายใต้ความร่วมมือกับกลุ่ม C40 และสถาบันสิ่งแวดล้อมสตอกโฮล์ม (Stockholm Environment Institute) โดยเน้นถึงความสำคัญของการรวบรวมความพยายามด้านสภาพภูมิอากาศของเมืองต่างๆ ในขณะที่หลายชาติกำหนดเป้าหมายการลด GHG เพื่อป้องกันอุณหภูมิโลกปรับตัวขึ้นสูงกว่าช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรมที่ระดับสูงกว่า 2 องศาเซลเซียส โดยการดำเนินการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการเจรจาเรื่องสภาพภูมิอากาศในปี 2558 ของสหประชาติ
ทั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกที่ศักยภาพรวมกันของทุกเมืองในการลด GHG ทั่วโลกได้รับการระบุปริมาณ โดยผลการวิจัยชี้ว่า เมื่อรัฐบาลของแต่ละเมืองดำเนินนโยบายเพื่อลดการปล่อยก๊าซจากภาคส่วนต่างๆ ที่สามารถควบคุมได้ เช่น การคมนาคมขนส่ง การก่อสร้าง และการกำจัดขยะ การดำเนินการดังกล่าวส่งผลอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ เมืองต่างๆ สามารถช่วยให้ประเทศของตนบรรลุเป้าหมาย GHG ในระดับที่สูงขึ้น และเติมเต็มช่องว่างระหว่างพันธกิจระดับชาติในปัจจุบัน กับสิ่งที่จำเป็นต่อการป้องกันอุณหภูมิโลกปรับตัวสูงขึ้น เมื่อหลายต่างชาติเห็นพ้องกันภายใต้ข้อตกลง Cancun Agreement ปี 2553 ของสหประชาชาติ
อ่านข่าวฉบับเต็มได้ที่ www.mikebloomberg.com/unenvoy หรือ www.c40.org/media