ASIANET: ม.บอสตันเผยผลศึกษาลดความเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ

ข่าวต่างประเทศ Wednesday March 28, 2001 13:52 —Asianet Press Release

บอสตัน--27 มี.ค.--พีอาร์นิวสไวร์-เอเชียเน็ท
Boston University School of Medicine ได้เปิดเผยข่าวประชาสัมพันธ์ ในวันนี้ว่า การเพิ่มขึ้นเพียงอย่างเดียวของ lipoprotein cholesterol ที่มีความหนาแน่นสูง (HDL-C) แต่ไม่มีการลดลงของ lipoprotein cholesterol ที่มีความหนาแน่นต่ำ (LDL-C) อาจลดความเสี่ยงของอาการหัวใจล้มเหลว (myocardial intractions) และการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับหัวใจในผู้ป่วยเพศชายจำนวนมากที่เป็นโรคหัวใจ
ข้อสรุปดังกล่าวเป็นผลของการวิเคราะห์ครั้งใหม่ของการทดลอง Veterans Affairs High-Density Lipoprotien Intervention Trail (VA-HIT) ซึ่งมีการตีพิมพ์ในวารสารของสมาคม American Medical Association (JAMA 2001;285:1585-91)
ทั้งนี้ มีการทดลอง VA-HIT กับผู้ป่วยเพศชายจำนวน 2,531 คนที่เป็นโรคหัวใจและมี HDL-C และ LDL-C อยู่ในระดับต่ำ โดยได้มีการทดสอบสมมติฐานที่ว่า การเพิ่ม HDL-C ด้วย fibrate จะลดการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ coronary heart disease (CHD) ลงอย่าง มาก
ผู้ป่วยได้ถูกสุ่มตัวอย่างเพื่อเข้ากลุ่ม gemfibrozil หรือการบำบัดด้วยการให้สารที่ไม่มีคุณสมบัติทางการรักษา (placebo) เป็นระยะเวลา 5 ปี โดยผลการศึกษาบ่งชี้ว่า การบำบัดแบบ fibrate ได้เพิ่ม HDL-C ขึ้นอย่างมากและลดอาการ CHD ลง 22 % เมื่อเทียบกับการบำบัดแบบ placebo
ในขณะนี้ การวิเคราะห์ที่หลากหลายของ lipid value ในการทดลอง VA-HIT บ่งชี้ว่า:-
--การบรรลุระดับที่เหมาะสมของ HDL-C ด้วยการบำบัดเพียงอย่างเดียวนั้นคาดว่าสามารถลดอาการหัวใจล้มเหลวที่ไม่ถึงขั้นเสียชีวิตและการเสียชีวิตจากอาการ CHD ได้
--การเพิ่มขึ้น 5 mg/dl (0.13 mmol/l) ของ HDL-C ด้วยการ fibrate ช่วยลดการเกิดโรค CHD ลงได้ 11 %
--ผลในเชิงบวกของการเพิ่ม HDL-C นั้นเป็นอิสระจากปัจจัยเสี่ยงอื่นๆของการเกิดโรค CHD ซึ่งได้แก่ อายุ, ความดันโลหิตสูง, เบาหวาน, การสูบบุหรี่และไขมันในร่างกาย
--ทั้งระดับ baseline และระดับการบำบัด LDL-C หรือ ไตรกลีเซอร์ไรด์ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความเสี่ยงของการเกิดโรค CHD
Dr. Sander Robins จาก Boston University School of Medicine ในสหรัฐได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับผลการทดลองดังกล่าวว่า "การวิเคราะห์ครั้งนี้มีนัยสำคัญทางการแพทย์อย่างมาก โดยประมาณ 40 % ของผู้ป่วยชายชาวสหรัฐที่เป็นโรคหัวใจนั้นมี HDL-C ที่ระดับ ต่ำ และประมาณ 25 % ของผู้ป่วยชายที่มี HDL-C ในระดับต่ำนั้นมีความผิดปกติของ lipid ที่เด่นชัดมากที่สุด การทดลอง VA-HIT ได้บ่งชี้ว่า การเพิ่ม HDL-C ด้วย fibrate นั้น ทำให้เราสามารถลดอาการ myocardial infractions ซึ่งไม่ถึงขั้นเสียชีวิตและการเสียชีวิตด้วยโรค CHD ลงได้อย่างมาก ดังนั้นเป้าหมายแรกของการบำบัดผู้ป่วยชายจำนวนหลายพันคนนั้นก็คือจะต้องเพิ่มระดับ HDL-C"
การวิเคราะห์ดังกล่าวมีความสำคัญต่อการเลือกการบำบัดด้วยยาที่เหมาะสมด้วย
การศึกษาจำนวนมากบ่งชี้ว่ายา statin ได้ลดความเสี่ยงของโรค CHD ได้อย่างมีประสิทธิภาพในผู้ป่วยที่มี LDL-C เพิ่มขึ้น แม้ว่า statin จะไม่แสดงผลในผู้ป่วยจำนวนมากที่มี HDL-C ในระดับต่ำ (น้อยกว่า 35 mg/dl) ในการทดลอง VA-HIT โดยผู้ป่วยเหล่านั้นมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรค CHD มากกว่าที่เคยพบในการศึกษาการใช้ยา statin ใดๆ ยกเว้นการศึกษาของ The Scandinavian Simvastatin Survival Study (4S) ซึ่งระดับ LDL-C อยู่ในช่วงที่สูงมาก
Dr. Robins กล่าวว่า "Fibrate สร้างการเปลี่ยนแปลงทาง metabolic ที่น่าพอใจอย่างหลากหลายมาก (เป็นสื่อในส่วนที่มีขนาดใหญ่โดย peroxisome proliferator-activated alpha receptors [PPAR
]) ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะตั้งสมมติฐานว่า ประโยชน์ที่เกี่ยวกับการเพิ่ม HDL-C ด้วย fibrate ในการทดลอง VA-HIT อาจบรรลุผลสำเร็จโดยการรักษาทางอายุรเวทอื่นๆซึ่งเพิ่ม HDL-C ด้วยกลไกอื่นๆ
คนไข้จำนวนมากที่เลือกเข้าร่วมการทดลอง VA-HIT นั้นเป็นโรคเบาหวานโดยในคนไข้เหล่านี้นั้น gemfibrozil ได้ลดการเกิดโรค CHD ลงมากกว่าในผู้ป่วยที่ไม่เป็นโรคเบาหวาน และในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มี HDL-C ในระดับต่ำนั้นถือเป็นความผิดปกติทั่วไป
สำหรับผลการศึกษา Diabetes Atherosclerosis Intervention Study (DAIS) ซึ่งเป็นการศึกษาอีกฉบับหนึ่งที่จัดทำขึ้นตามคำเรียกร้องขององค์การอนามัยโลกนั้น ได้รับการเผยแพร่ในวารสาร The Lancet เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และผลการศึกษาแสดงว่า fenofibrate ซึ่งเป็น fibrate อีกประเภทหนึ่ง ได้ลดการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจลง 40 %
ทั้งนี้ คณะผู้เชี่ยวชาญระหว่างประเทศจะเผยแพร่คำแนะนำที่อิงตามผลการศึกษา VA-HIT และ DAIS ก่อนสิ้นปีนี้ โดยพวกเขามีเป้าหมายที่จะลดอาการหัวใจวายและโรค CHD ในผู้ป่วยที่มี HDL-C ต่ำ
แหล่งข่าว : Boston University School of Medicine
ติดต่อ : Dr.Sander Robins ภาควิชาต่อมไร้ท่อวิทยา, โภชนาการและโรคเบา หวานแห่ง Boston University School of Medicine โทร. 617-414-3790 หรือโทรสาร 617-414-1339 หรือ sjrobins@bu.edu --จบ--
--แปลและเรียบเรียงโดย-กช/กก--

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ