![โรงไฟฟ้าหัวเหนิงตงฟางประสบความสำเร็จต่อเนื่องสามปี เดินหน้าเติบโตอย่างแข็งแกร่ง]()
ไหโข่ว, จีน--21 ม.ค.--พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์
เมื่อสามปีที่แล้ว บริษัท หัวเหนิง คอมพานี และ
หัวเว่ย ได้ร่วมมือกันพัฒนาโรงไฟฟ้าหัวเหนิงตงฟางให้กลายเป็นโรงไฟฟ้า
พลังงานแสงอาทิตย์ระบบดิจิทัลแห่งแรก เรา
มาดูกันว่าเทคโนโลยีใหม่ดังกล่าวช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้าได้อย่างไร
ผลิตไฟฟ้าได้สูงกว่าเป้า 20%
โรงไฟฟ้าแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2559 เพื่อ
ผลิตไฟฟ้าป้อนเข้าสู่กริด โดยใช้โมดูลโมโนคริสตัลไลน์ 280 Wp ตามเงื่อนไขของโครงการ PV Top Runner Program ของจีน และใช้ Smart PV Solution ของ
หัวเว่ย โรงไฟฟ้าแห่งนี้สร้างปรากฏการณ์โรงไฟฟ้า
พลังงานแสงอาทิตย์อัจฉริยะระบบดิจิทัล โดยนับตั้งแต่ได้รับการพัฒนาให้เป็นโรงไฟฟ้าอัจฉริยะก็สามารถ
ผลิตไฟฟ้าได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์
ในปี 2560 มีการตั้งเป้าชั่วโมงการใช้ประโยชน์ไว้ที่ 1,319 ชั่วโมง แต่มีชั่วโมงการใช้ประโยชน์จริงสูงถึง 1,483 ชั่วโมง หรือสูงกว่าที่ตั้งเป้าไว้ 12.43% ส่วนไฟฟ้าออนกริดอยู่ที่ระดับ 19.14 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ (15.98 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมง) อยู่ 19.77% และมีอัตราส่วนสมรรถนะเฉลี่ยต่อปี 84.58%
ในปี 2561 ไฟฟ้าออนกริดอยู่ที่ระดับ 19.05 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมง ชั่วโมงการใช้ประโยชน์อยู่ที่ 1,476.7 ชั่วโมง และอัตราส่วนสมรรถนะอยู่ที่ 84.43%
ในปี 2562 ไฟฟ้าออนกริดเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 20.56 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมง ส่วนชั่วโมงการใช้ประโยชน์เพิ่มขึ้นแตะ 1,594.07 ชั่วโมง และอัตราส่วนสมรรถนะเพิ่มเป็น 85.3% ซึ่งสูงสุดในอุตสาหกรรม
โรงไฟฟ้าหัวเหนิงตงฟางได้รับการจัดอันดับให้เป็นโรงไฟฟ้า
พลังงานแสงอาทิตย์ระดับ 5A สองปีติดต่อกันในปี 2560 และ 2561 จากการประเมินระดับชาติและตัวบ่งชี้ทางสถิติสำคัญ ๆ โดยอัตราส่วนสมรรถนะเฉลี่ยต่อปีของโรงไฟฟ้าแห่งนี้ทะลุ 84.43% และอัตราความขัดข้องเกือบเป็นศูนย์ตลอดสามปีที่ผ่านมา นอกจากนั้นยังสามารถ
ผลิตไฟฟ้าต่อปีได้มากกว่าเป้าหมายราว 20%
ปี 2562 มีความก้าวหน้าสำคัญเกิดขึ้นมากมาย โดยปริมาณการแผ่รังสีต่อปีของโรงไฟฟ้าหัวเหนิงตงฟางอยู่ในช่วง 502 x 104 kJ/m2 ถึง 586 x 104 kJ/m2 แต่ก็ยังสามารถ
ผลิตไฟฟ้าได้ถึง 20.56 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมงในปีเดียว โดยมีชั่วโมงการใช้ประโยชน์ 1,594 ชั่วโมง ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์
7 เทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มกำลังการ
ผลิตไฟฟ้า
เพราะเหตุใดโรงไฟฟ้าหัวเหนิงตงฟางจึง
ผลิตไฟฟ้าได้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง คำตอบอยู่ที่ 7 เทคโนโลยีหลักดังต่อไปนี้
1. MPPT หลายตัว รับประกัน
ผลิตไฟฟ้าได้มาก
โดยปกติแล้ว โมดูลเซลล์แสงอาทิตย์จะ
ผลิตไฟฟ้าได้น้อยลงเมื่อถูกเงาบดบัง เช่น การลดทอนรังสีอาทิตย์ และเงาที่เกิดในช่วงเช้าตรู่หรือพระอาทิตย์ตก สำหรับในมณฑลไห่หนาน โมดูลอาจ
ผลิตไฟฟ้าได้น้อยลงเมื่อถูกบดบังโดยเมฆ ขี้นก หรือคราบน้ำหลังฝนตกหนัก ซึ่งปัจจัยเหล่านี้อาจทำให้การ
ผลิตไฟฟ้าลดลงอย่างมาก
เพื่อจัดการกับปัญหาดังกล่าว โรงไฟฟ้าแห่งนี้ใช้สตริงอินเวอร์เตอร์อัจฉริยะของ
หัวเว่ย ซึ่งเชื่อมสองสตริงกับวงจร MPPT วงจรเดียว และปรับแต่งเมกะวัตต์ด้วย MPPT รวม 80 ตัว เมื่อเทียบกับเซ็นทรัลอินเวอร์เตอร์แล้ว เทคโนโลยีของ
หัวเว่ยสามารถลดปัญหาข้างต้นให้เหลือน้อยที่สุด และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบได้มหาศาล
2. ย่านแรงดันไฟฟ้าใช้งานกว้าง ช่วยขยายเวลา
ผลิตไฟฟ้า
เนื่องจาก MPPT มีย่านแรงดันไฟฟ้าใช้งานกว้าง อินเวอร์เตอร์จึงมีเวลาทำงานยาวนานขึ้น เวลาในการ
ผลิตไฟฟ้าจึงเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ประสิทธิภาพโดยรวมของโรงไฟฟ้าเพิ่มขึ้นในที่สุด
สตริงอินเวอร์เตอร์อัจฉริยะของ
หัวเว่ยใช้เทคโนโลยีไบโพลาร์ โทโปโลยี ช่วยให้แรงดันไฟฟ้าขาออกของโมดูลสามารถเดินทางผ่านวงจรเพิ่มแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง เมื่อแรงดันไฟฟ้าขาเข้าอยู่ในระดับต่ำ ก็สามารถเพิ่มแรงดันให้ตรงกับความต้องการของตัวเก็บประจุ ดังนั้น ย่านแรงดันไฟฟ้าใช้งานของ MPPT จึงมีความกว้าง โดยอยู่ระหว่าง 200-1,000 โวลต์ ส่วนเซ็นทรัลอินเวอร์เตอร์ที่ใช้เทคโนโลยียูนิโพลาร์ โทโปโลยี มีย่านแรงดันไฟฟ้าใช้งานแคบเพียง 520-1,000 โวลต์ ด้วยเหตุนี้ สตริงอินเวอร์เตอร์อัจฉริยะของ
หัวเว่ยจึงทำงานได้ยาวนานกว่าและ
ผลิตไฟฟ้าได้มากกว่า
3. ไม่ต้องใช้ฟิวส์
เมื่อไม่มีชิ้นส่วนที่บอบบาง ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการดำเนินงานและการบำรุงรักษา
ความเรียบง่ายคือหัวใจสำคัญในการออกแบบโมดูลอัจฉริยะ การออกแบบที่เรียบง่ายทำให้เกิดจุดบกพร่องน้อยลงและมีโอกาสเกิดความผิดพลาดในระบบน้อยลง โรงไฟฟ้าหัวเหนิงตงฟางดำเนินงานมานานสามปีครึ่ง และมีอัตราความขัดข้องเกือบเป็นศูนย์แม้ทำงานท่ามกลางอุณหภูมิสูงและหมอกเกลือในระดับสูง ขณะที่ความพร้อมใช้งานของสตริงอินเวอร์เตอร์ของ
หัวเว่ยอยู่ที่ 99.996% จากการทดสอบภาคสนามที่จัดทำโดย TUV
ก่อนวางจำหน่าย อินเวอร์เตอร์ของ
หัวเว่ยต้องผ่านการทดสอบกว่า 1,400 รายการซึ่งจัดทำโดย Global Compliance and Testing Center (GCTC) ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย เช่น หมอกเกลือ พื้นดินชุ่มน้ำ ฟ้าผ่า พื้นที่สูง ในอุณหภูมิ -60 ถึง +100 องศาเซลเซียส เพื่อรับประกันประสิทธิภาพการทำงานในสภาพแวดล้อมไม่พึงประสงค์หลากหลายรูปแบบ การออกแบบที่เรียบง่ายสร้างความเชื่อมั่นว่าโรงไฟฟ้า
พลังงานแสงอาทิตย์จะทำงานอย่างน่าเชื่อถือในระยะยาว
4. เทคโนโลยีต่อต้านการเสื่อมสภาพ ป้องกันการสูญเสียและรับประกันความปลอดภัย
โรงไฟฟ้าหัวเหนิงตงฟางตั้งอยู่ห่างจากชายฝั่งเพียง 220 เมตร โมดูลจึงต้องทำงานอย่างต่อเนื่องท่ามกลางอุณหภูมิและความชื้นสูง จึงมีโอกาสเกิดการเสื่อมสภาพแบบ PID (Potential Induced Degradation) มากกว่าปกติ
เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว โรงไฟฟ้าแห่งนี้ได้ติดตั้งโมดูลแบบต่อต้าน PID ซึ่งสามารถปรับแรงดันไฟฟ้าขาออกโดยอัตโนมัติอิงตามแรงดันไฟฟ้าของอินเวอร์เตอร์ และอัดแรงดันไฟฟ้าระหว่างสายเฟสกับสายกราวด์จากจุดสะเทินเสมือน เพื่อสร้างสมดุลแรงดันไฟฟ้าระหว่างโมดูลกับพื้นดิน ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้ PID กระทบต่อโมดูล
ที่สำคัญไปกว่านั้น เทคโนโลยีต่อต้าน PID ใหม่ล่าสุดของ
หัวเว่ย ใช้เทคโนโลยีที่เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทในการสร้างจุดสะเทินเสมือนผ่านวงจรอินเวอร์เตอร์ เมื่อเทียบกับโซลูชันทั่วไปที่ใช้ตัวต้านทานกระแสไฟฟ้าหรือตัวนำกระแสไฟฟ้าในการสร้างจุดสะเทิน พบว่าเทคโนโลยีต่อต้าน PID ของ
หัวเว่ยมีความทันสมัยกว่ามาก โดยสามารถลดการสูญเสียแรงดันไฟฟ้าและทำให้การชดเชยแรงดันไฟฟ้ามีความปลอดภัยมากขึ้น ผลลัพธ์คือ
ผลิตไฟฟ้าได้มากขึ้น 2% และรองรับอาร์เรย์มากกว่า 5 เมกะวัตต์
5. ลดต้นทุนด้วยการนำ PLC และ 4G ไร้สายมาใช้แทน RS485 และสายใยแก้วนำแสง
ในส่วนของการสื่อสาร โรงไฟฟ้าหัวเหนิงตงฟางได้นำ PLC มาใช้แทน RS485 ซึ่งช่วยลดต้นทุนในการผลิตและติดตั้งสายสื่อสาร นอกจากนั้นยังนำเครือข่าย 4G ไร้สายของเอกชนมาใช้แทนสายใยแก้วนำแสงด้วย
การนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้ช่วยให้สามารถติดตั้งและใช้งานได้ภายในระยะเวลาเพียงสองสัปดาห์ โดยไม่จำเป็นต้องขุดและฝังสายใยแก้วนำแสง โรงไฟฟ้า
พลังงานแสงอาทิตย์หนึ่งแห่งครอบคลุมพื้นที่ไม่เกิน 10 ตารางกิโลเมตร ทำให้ดำเนินงานและบำรุงรักษาได้อย่างรวดเร็ว แม้โรงไฟฟ้าจะตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลที่ไม่ค่อยมีสัญญาณสาธารณะ แต่ยังมีสัญญาณไร้สายของเครือข่ายเอกชนที่พึ่งพาได้ จึงรับประกันว่าการสื่อสารจะเป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยเจ้าหน้าที่บำรุงรักษาสามารถใช้เทอร์มินอลไร้สายในการวิดีโอคอลคุยกับห้องควบคุมส่วนกลาง
6. Discrete Rate Analysis ช่วยระบุจุดบกพร่อง
Discrete Rate Analysis เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและการบำรุงรักษา สำหรับโรงไฟฟ้าแห่งนี้ Discrete Rate Analysis ถูกนำมาใช้ระบุจุดบกพร่องของสตริงอย่างแม่นยำ ช่วยให้เจ้าหน้าที่ภาคสนามทำงานได้สะดวกขึ้น โดยสามารถซ่อมแซมสตริงประสิทธิภาพต่ำได้อย่างทันท่วงที รับประกันว่าสตริงในโรงไฟฟ้าจะไร้จุดบกพร่องต่อไปอีกนาน
จนถึงขณะนี้ บรรดาโรงไฟฟ้าที่ใช้เทคโนโลยีดังกล่าวมีกำลังการ
ผลิตไฟฟ้ารวมกันทะลุ 20 กิกะวัตต์ การนำ Discrete Rate Analysis มาใช้แก้ไขจุดบกพร่องช่วยรับประกันว่าโรงไฟฟ้าจะทำงานได้อย่างมั่นคง
7. Smart I-V Curve Diagnosis ช่วยระบุจุดบกพร่องจากระยะไกล
Smart I-V Curve Diagnosis ได้รับการพิสูจน์แล้ววว่ามีประสิทธิภาพอย่างสูงจากการใช้งานในโรงไฟฟ้าหัวเหนิงตงฟาง โดยสามารถสแกนหาจุดบกพร่องของสตริงในโรงไฟฟ้า
พลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 12.9 เมกะวัตต์ ที่มี 1,920 สตริง ได้ภายในเวลาเพียง 4 นาที ไม่ว่าจะเป็นจุดความร้อน รอยแตก หรือไดโอดลัดวงจร ช่วยให้แก้ปัญหาหน้างานได้อย่างตรงจุด การตรวจสอบสามารถทำผ่านออนไลน์ และรายงานการตรวจสอบจะจัดทำขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อพบจุดบกพร่อง การดำเนินงานและการบำรุงรักษาที่เคยใช้เวลานานหลายเดือนจึงใช้เวลาเหลือเพียงไม่กี่นาที
ในปี 2562 Smart I-V Curve Diagnosis ได้รับการอัปเกรดเป็นเวอร์ชัน 3.0 ส่งผลให้สามารถตรวจสอบสตริงทั้งหมดในโรงไฟฟ้า
พลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 100 เมกะวัตต์ภายในเวลา 15 นาที นอกจากนั้นยังมีการบูรณาการเทคโนโลยี AI และ Machine Learning เข้ากับ Smart I-V Curve Diagnosis เพื่อให้การตรวจสอบมีประสิทธิภาพสูงสุด จนถึงขณะนี้ Smart I-V Curve Diagnosis ของ
หัวเว่ยถูกนำไปใช้ในโรงไฟฟ้าหลายแห่งซึ่งมีกำลังการผลิตรวมกว่า 5 กิกะวัตต์ และได้รับการยอมรับในประสิทธิภาพ นอกจากนี้
หัวเว่ยยังเป็นเวนเดอร์รายเดียวที่ได้รับการรับรองจาก TUV ว่าสามารถทำการวิเคราะห์ด้วยความแม่นยำสูง
หลังจากที่โรงไฟฟ้าแห่งนี้สร้างเสร็จสมบูรณ์ หัวเหนิงยังคงทำงานร่วมกับ
หัวเว่ยในโรงไฟฟ้า
พลังงานแสงอาทิตย์อัจฉริยะโครงการอื่น ๆ ซึ่งมีกำลังการ
ผลิตไฟฟ้ารวมกันทะลุ 1 กิกะวัตต์ โดยโรงไฟฟ้ากว่า 80% จากทั้งหมดใช้ระบบ FusionSolar Management System ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2562 หัวเหนิง กรุ๊ป และ
หัวเว่ย ได้ลงนามข้อตกลงความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ โดยมุ่งสร้างความร่วมมือระยะยาวเพื่อส่งเสริมการบูรณาการเทคโนโลยี AI ในการก่อสร้างโรงไฟฟ้า
พลังงานแสงอาทิตย์ พร้อมกับผลักดันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเพื่อให้เป็นมาตรฐานการก่อสร้างโรงไฟฟ้า
พลังงานแสงอาทิตย์ ในยุคที่ต้นทุนการ
ผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์เท่ากับหรือถูกกว่าไฟฟ้าจากสายส่ง (Grid Parity)
รูปภาพ - https://photos.prnasia.com/prnh/20200120/2696817-1-a
รูปภาพ - https://photos.prnasia.com/prnh/20200120/2696817-1-b
รูปภาพ - https://photos.prnasia.com/prnh/20200120/2696817-1-c
รูปภาพ - https://photos.prnasia.com/prnh/20200120/2696817-1-d
![]()
![]()