ดับลิน--2 ก.ย.--พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์
- ได้รับเงินกู้ 620 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากกลุ่มธนาคาร 5 แห่ง สำหรับนำไปใช้ก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานลมและแสงอาทิตย์ เฟสที่สอง ขนาด 630 เมกะวัตต์
- เป็นหนึ่งในข้อตกลงเงินกู้ขนาดใหญ่ที่สุดในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนทั่วโลกในปีนี้
- ข้อตกลงนี้เน้นย้ำให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ Mainstream ที่มีต่อการผลิตพลังงานหมุนเวียนในชิลี และสะท้อนผลงานความสำเร็จของบริษัทในการส่งมอบโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในระดับกิกะวัตต์
- โครงการ Andes Renovables ขนาด 1.3 กิกะวัตต์ ยังคงเดินหน้าอย่างยอดเยี่ยม แม้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เนื่องจากมาตรการด้านความปลอดภัยภายในที่เคร่งครัด
Mainstream Renewable Power ("Mainstream" หรือ "บริษัท") บริษัทพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ระดับโลก บรรลุข้อตกลงทางการเงินสำหรับการดำเนินการเฟสที่สองของโครงการ “Andes Renovables" ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานลมและแสงอาทิตย์ขนาด 1.3 กิกะวัตต์ในประเทศชิลีที่บริษัทเป็นเจ้าของทั้งหมด
บริษัทประสบความสำเร็จในการระดมทุน 620 ล้านดอลลาร์ผ่านการกู้ยืม เพื่อนำไปใช้ในการก่อสร้างเฟสที่สองของโรงไฟฟ้าพลังงานลมและแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของลาตินอเมริกา ส่งผลให้เม็ดเงินทั้งหมดที่โครงการ Andes Renovables ระดมทุนได้จนถึงปัจจุบันนั้นมีมูลค่าอยู่ที่ 1.25 พันล้านดอลลาร์
สำหรับเงินกู้ยืมรอบนี้ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มธนาคาร 5 แห่ง ซึ่งประกอบด้วย IDB Invest, KfW IPEX-Bank, DNB, CaixaBank และ MUFG และเป็นข้อตกลงการกู้เงินเพื่อธุรกิจพลังงานหมุนเวียนที่มีมูลค่าสูงสุดครั้งหนึ่งที่เกิดขึ้นทั่วโลกในปีนี้ ขณะที่ธนาคารแห่งที่ 6 คือ Santander ได้จัดสรรวงเงินกู้เพื่อนำไปจ่ายภาษี VAT
โครงการโรงไฟฟ้า Andes Renovables เฟสสอง มีกำลังการผลิต 630 เมกะวัตต์ และมีชื่อเรียกว่า “Huemul” ประกอบไปด้วยโรงไฟฟ้าพลังงานลมบนชายฝั่ง 3 แห่ง และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 2 แห่ง โดยโรงไฟฟ้าทั้ง 5 แห่งนี้อยู่ในช่วงก่อนก่อสร้าง และจะดำเนินงานในเชิงพาณิชย์ระหว่างปี 2564-2565 ซึ่งจะผลิตกระแสไฟฟ้าอย่างยั่งยืนและมากเพียงพอสำหรับบ้านเรือน 781,000 หลังในชิลี และจะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 744,200 เมตริกตันต่อปี
Andes Renovables เป็นโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานลมและแสงอาทิตย์ มูลค่าราว 1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแบ่งเป็นสามเฟส ประกอบด้วยโรงไฟฟ้าพลังงานลมบนชายฝั่ง 7 แห่ง และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 3 แห่ง โดยเฟสแรกชื่อ “C?ndor” ได้ปิดการระดมทุนผ่านการกู้ยืมเงินในเดือนพฤศจิกายน 2562 และก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ไปกว่า 30% แล้ว โครงการเฟสนี้สร้างงานเกือบ 1,200 ตำแหน่งใน 3 ภูมิภาคของชิลี และยังคงดำเนินงานอย่างปลอดภัยในช่วงที่โควิด-19 แพร่ระบาด ภายใต้มาตรการด้านสุขอนามัยและการเว้นระยะห่างทางสังคมที่เคร่งครัด ส่วนเฟสต่อไป ซึ่งเป็นเฟสสุดท้ายมีชื่อว่า “Copihue” ประกอบด้วยโรงไฟฟ้าพลังงานลมอีก 1 แห่งที่มีกำลังการผลิต 100 เมกะวัตต์ และมีแนวโน้มว่าจะปิดการระดมทุนทางการเงินได้ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564
Vestas, Nordex Group และ Siemens Gamesa จะเป็นผู้จัดหากังหันลม และ Sacyr Industrial, SEMI และ Elecnor จะเป็นผู้ก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานลม ส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จะก่อสร้างโดยบริษัท Sterling & Wilson และ Metka-Egn ขณะที่หม้อแปลงไฟฟ้าหลักทั้ง 5 ตัวสำหรับโครงการดังกล่าวมีบริษัท Hitachi ABB Power Grids เป็นผู้จัดหา ส่วนงานเชื่อมสายไฟฟ้ามีกลุ่มบริษัทที่ประกอบด้วย Transelec, Inprolec และ Isotron-Siemens เป็นผู้ดำเนินการ
Mary Quaney ประธานบริหารกลุ่ม Mainstream กล่าวว่า:
"การปิดการระดมทุนในเฟสที่สองของโครงการ Andes Renovables ของเรานี้ นับเป็นก้าวสำคัญอีกก้าวหนึ่งในการเดินทางของ Mainstream เพื่อส่งมอบโรงไฟฟ้าพลังงานลมและแสงอาทิตย์อันดับหนึ่งของลาตินอเมริกา”
"แม้จะเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนอันเนื่องมาจากโควิด-19 แต่การบรรลุข้อตกลงเงินกู้ครั้งนี้ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงการสนับสนุนของกลุ่มธนาคารที่มีให้กับ Mainstream ในฐานะผู้พัฒนาพลังงานหมุนเวียนอิสระชั้นนำของโลก
"Mainstream กำลังสร้างสิ่งที่ใหญ่ยิ่งกว่าจากโครงการ Andes Renovables ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานหมุนเวียนขนาดใหญ่มาก และเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สำคัญสำหรับชิลี เนื่องจากชิลีกำลังคาดหวังที่จะลงทุนเพื่อการฟื้นตัวจากโควิด-19 อย่างยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการทำให้ระบบไฟฟ้าลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และลดราคาการผลิตไฟฟ้าทั่วประเทศ”
Manuel Tagle ผู้จัดการทั่วไปประจำภูมิภาคลาตินอเมริกาของ Mainstream กล่าวว่า:
"เหตุการณ์สำคัญครั้งล่าสุดนี้เกิดขึ้นในขณะที่เรากำลังมีความก้าวหน้าอย่างยอดเยี่ยมในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าเฟสหนึ่ง และผมดีใจที่ทีมงานของเราสามารถรับมือกับสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย ซึ่งมีสาเหตุมาจากโรคระบาด
"ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมของโครงการนี้มีความสำคัญมาก โดยนอกจากโครงการ Andes Renovables แล้ว Mainstream ยังมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมและแสงอาทิตย์ที่อยู่ในแผนพัฒนาอีก 2.7 กิกะวัตต์ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเพิ่มการสนับสนุนชิลีให้มากยิ่งขึ้นอีกในอนาคตอันใกล้”
หมายเหตุสำหรับบรรณาธิการ:
เกี่ยวกับ Mainstream Renewable Power ในชิลี
เมื่อปี 2559 Mainstream ชนะประมูลโครงการผลิตไฟฟ้าแบบเป็นกลางทางเทคโนโลยีโครงการใหญ่ที่สุดในชิลี โดยคว้าส่วนแบ่งมากที่สุด 27% จากทั้งหมด คณะกรรมาธิการพลังงานแห่งชาติของชิลีได้ทำสัญญาในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐระยะเวลา 20 ปี เพื่อมอบหมายให้ Mainstream ผลิตไฟฟ้า 3,366 กิกะวัตต์ชั่วโมงตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นไป นอกจากนี้ Mainstream ยังมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมอีก 332 เมกะวัตต์ในชิลีที่ร่วมมือกับบริษัท Actis และเริ่มดำเนินงานเชิงพาณิชย์ครั้งแรกเมื่อปี 2557 นอกจากนี้ Mainstream ยังมีโรงไฟฟ้าพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 2,700 เมกะวัตต์ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาในชิลี
รายละเอียดของโครงการ
โครงการAndes Renovables Platform
เฟส ชื่อ โรงไฟฟ้าพลังงานลม(MW) โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์(MW) เริ่มดำเนินงานเชิงพาณิชย์
1 C?ndor 3 แห่ง (426MW) 1 แห่ง (145MW) ปี 2564
2 Huemul 3 แห่ง (425 MW) 2 แห่ง (205 MW) ปี 2564 – 2565
3 Copihue 1 แห่ง (100 MW) n/a 2565
951 MW (พลังงานลมบนชายฝั่ง) 350 MW (พลังงานแสงอาทิตย์)
เฟสสอง -Huemul
ชื่อ เทคโนโลยี กำลังการผลิต(MW) ที่ตั้ง เริ่มดำเนินงานเชิงพาณิชย์ ผู้จัดหาอุปกรณ์ ผู้รับเหมาก่อสร้าง
Puelche พลังงานลม 156 Los Lagos ปี 2565 Nordex SEMI
Sur บนชายฝั่ง Group
Llanos del พลังงานลมบนชายฝั่ง 160 Antofagasta ปี 2565 Siemens Elecnor
Viento Gamesa
Ckani พลังงานลมบนชายฝั่ง 109 Antofagasta ปี 2565 Vestas Sacyr
Industrial
Pampa พลังแสงอาทิตย์ 100 Antofagasta ปี 2564 Full EPC contract Metka-Egn
Tigre
Valle พลังแสงอาทิตย์ 105 Atacama ปี 2564 Full EPC contract Sterling & Wilson
Escondido
รวม 630
ติดต่อ:
Emmet Curley, Head of Communications & Positioning
โทร: +353 86 2411 690
อีเมล: emmet.curley@mainstreamrp.com
เกี่ยวกับ Mainstream Renewable Power
Mainstream Renewable Power คือผู้พัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ระดับสาธารณูปโภคของเอกชนเพียงแห่งเดียวที่ดำเนินธุรกิจในระดับโลก บริษัทมุ่งส่งมอบโรงไฟฟ้าพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์คุณภาพสูงรวมกว่า 9 กิกะวัตต์ทั่วลาตินอเมริกา แอฟริกา เอเชียแปซิฟิก รวมถึงในอุตสาหกรรมพลังงานลมนอกชายฝั่งทั่วโลก
Mainstream ได้ส่งมอบโรงไฟฟ้าพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ที่มีกำลังผลิตรวมกว่า 1.1 กิกะวัตต์เข้าสู่การดำเนินงานเชิงพาณิชย์แล้ว และอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงไฟฟ้าอีก 1.9 กิกะวัตต์ทั่วลาตินอเมริกาและแอฟริกา
ในประเทศชิลี โรงไฟฟ้าพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 1.3 กิกะวัตต์ซึ่งบริษัทเป็นเจ้าของทั้งหมด กำลังจะเข้าสู่การดำเนินงานเชิงพาณิชย์ในปี 2564 ขณะเดียวกัน บริษัทได้ส่งมอบโรงไฟฟ้าพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ที่มีกำลังผลิตรวม 600 เมกะวัตต์เข้าสู่การดำเนินงานเชิงพาณิชย์ในแอฟริกาใต้ และอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานลมอีก 250 เมกะวัตต์ นอกจากนั้นยังร่วมทุนกับบริษัท Lekela Power ก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานลมขนาด 410 เมกะวัตต์ในเซเนกัลและอียิปต์
Mainstream เป็นผู้พัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งอิสระที่ประสบความสำเร็จที่สุดในระดับโลก โดยประสบความสำเร็จในโครงการ Hornsea One (1.2 กิกะวัตต์) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งขนาดใหญ่ที่สุดในโลกในปัจจุบัน รวมทั้งประสบความสำเร็จในการพัฒนาโครงการ Hornsea 2 (1.4 กิกะวัตต์) ก่อนขายโครงการเหล่านี้และทั้งโซนในปี 2558 นอกจากนี้ Mainstream ยังได้ขายสัมปทานโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่ง Neart na Gaoithe ขนาด 450 เมกะวัตต์ในสกอตแลนด์ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างในขณะนี้
Mainstream พัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่ง Soc Trang ขนาด 800 เมกะวัตต์ในเวียดนาม ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะเดียวกัน Mainstream ได้ลงนามข้อตกลงกับ Eni บริษัทพลังงานระดับโลก เพื่อร่วมกันพัฒนาพลังงานหมุนเวียนทั่วแอฟริกาและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากเดิมที่พุ่งเป้าไปที่โครงการ Offshore Round 4 ของสหราชอาณาจักร
จนถึงขณะนี้ Mainstream ระดมทุนเพื่อสนับสนุนโครงการได้มากกว่า 3.0 พันล้านยูโร และมีพนักงานมากกว่า 300 คนใน 5 ทวีป
www.mainstreamrp.com
โลโก้ - https://mma.prnewswire.com/media/686512/Mainstream_Renewable_Power_Logo.jpg