สิงคโปร์--3 ก.ย.--พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์
- รายงานสรุปสาระสำคัญของการดำเนินการ การลงทุน และพันธกิจหลักทั่วโลก เพื่อกำจัดปัญหาขยะพลาสติกในสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียน
วันนี้ Alliance to End Plastic Waste ได้เผยแพร่รายงานความก้าวหน้าประจำปี 2563 (2020 Progress Report) ซึ่งเผยรายละเอียดเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายขององค์กรในการดำเนินการเพื่อบรรลุวิสัยทัศน์และพันธกิจที่องค์กรกำหนดไว้ รายงานฉบับนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการเร่งดำเนินโครงการจัดการและรีไซเคิลขยะผ่านแนวทางเชิงยุทธศาสตร์ 4 ด้านหลัก ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐาน นวัตกรรม การศึกษาและการมีส่วนร่วม และการกำจัดขยะ โดยทาง Alliance ได้ผลักดันโครงการ 14 โครงการใน 14 เมือง ครอบคลุม 6 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดีย และแอฟริกา ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นแนวหน้าในการเผชิญความท้าทายจากขยะพลาสติก นอกจากนี้ รายงานยังกล่าวถึงโครงการที่ริเริ่มโดยองค์กรสมาชิกอีก 55 โครงการ รวมมูลค่า 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่มุ่งสร้างแนวทางการแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกในสิ่งแวดล้อม
นายจาคอบ ดูเออร์ ประธานและซีอีโอของ Alliance to End Plastic Waste กล่าวว่า "เราต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน เพราะการไม่ทำอะไรเลยจะส่งผลให้ขยะพลาสติกนับล้าน ๆ ตันรั่วไหลลงสู่มหาสมุทรต่อไป หากเราไม่เริ่มลงมือทำเสียตั้งแต่วันนี้ ความคืบหน้าที่ทาง Alliance ได้สร้างขึ้นในระยะเวลาเพียง 18 เดือนเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางยาวไกลที่รออยู่เบื้องหน้า แต่เราสามารถย่นระยะทางให้สั้นลงได้อย่างมาก เมื่อเราประสานความร่วมมือกันระหว่างอุตสาหกรรม รัฐบาล ประชาสังคม และหน่วยงานด้านการพัฒนา ปัญหานี้ก็จะสามารถแก้ไขได้ กลยุทธ์ของเราอยู่ที่การใช้แนวทางแบบองค์รวมที่ขับเคลื่อนด้วยความรู้ด้านเทคนิคในเชิงลึก และทรัพยากรจากห่วงโซ่คุณค่าพลาสติกทั้งหมด"
นายดูเออร์ยังเสริมด้วยว่า "จุดมุ่งหมายของเราในอีก 5 ปีข้างหน้าคือ การเปลี่ยนขยะพลาสติกหลายล้านตันในกว่า 100 เมืองทั่วโลกที่กำลังเผชิญความเสี่ยง ปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนนับล้าน และมีส่วนช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยทาง Alliance กำลังแสดงให้เห็นว่า แนวทางการจัดการขยะพลาสติกที่ประสบความสำเร็จนั้น สามารถปลดล็อกเงินทุนและเร่งการดำเนินงานให้เร็วขึ้นได้อย่างไร"
ตัวอย่างความสำเร็จของโครงการที่ Alliance และสมาชิกร่วมกันดำเนินงาน ผ่าน 4 แนวทางหลักเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งระบุในรายงานความก้าวหน้าปี 2563 มีดังต่อไปนี้:
- Project STOP (Stop Ocean Plastics) ในเขตเจมบรานา ทางตะวันตกเฉียงเหนือของบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ได้พัฒนาบริการจัดการขยะมูลฝอยครั้งแรกของเขต โดยมีระบบรีไซเคิลแบบครบวงจรที่จะช่วยสร้างตำแหน่งงานใหม่และงานประจำ ทาง Alliance และ Project STOP จะสร้างระบบเพื่อเก็บรวบรวมขยะให้ได้ 20,000 ตันต่อปี ซึ่งรวมถึงการสร้างการเปลี่ยนแปลงแบบถอนรากถอนโคนทุกระดับในสังคม ทั้งภาคประชาชน รัฐบาล และชุมชน
- Zero Waste Plastic Cities เป็นวิสัยทัศน์ร่วมกันระหว่าง Alliance และ Grameen Creative Labs ที่ร่วมก่อตั้งโดยศาสตราจารย์ มูฮัมหมัด ยูนุส นักเศรษฐศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ที่ไม่เพียงต้องการจัดการกับการรั่วไหลของขยะพลาสติกสู่สภาพแวดล้อม แต่ยังมุ่งพัฒนาธุรกิจเพื่อสังคมที่มีความยั่งยืน เพื่อปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในเมืองต่าง ๆ ของเขตปกครองปุทุจเจรีในอินเดีย และเมืองเตินอานของเวียดนาม
- ในช่วงปีที่ผ่านมา โครงการ End Plastic Waste Innovation Platform ที่ทางองค์กรร่วมกับ Plug and Play นั้น ได้บ่มเพาะสตาร์ทอัพที่สามารถสร้างผลกระทบต่อห่วงโซ่คุณค่าพลาสติก โดยมีสตาร์ทอัพจากซิลิคอนแวลลีย์และปารีสสมัครเข้าร่วมโครงการกว่า 1,000 ราย ขณะที่ศูนย์กลางแห่งที่สามอย่าง สิงคโปร์ ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางเช่นกัน เมื่อเปิดฉากโครงการบ่มเพาะสตาร์ทอัพในช่วงฤดูร้อนนี้
- Suez ในฐานะผู้นำระดับโลกด้านการจัดการทรัพยากรที่ยั่งยืนและอัจฉริยะ อีกทั้งเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้ง Alliance กำลังนำความรู้ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีของบริษัทมาจัดการกับการรั่วไหลของขยะพลาสติกในประเทศไทย และอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงงานรีไซเคิลพลาสติกแห่งแรกของบริษัทนอกทวีปยุโรป ซึ่งโรงงานแห่งนี้จะเปลี่ยนขยะประเภทฟิล์มโพลีเอทิลีนจำนวน 30,000 ตันที่เก็บได้ในท้องถิ่นให้เป็นวัสดุรีไซเคิล
- ตัวอย่างความร่วมมือข้ามห่วงโซ่คุณค่าของเรา ได้แก่
-- Milliken, Llyondellbasell และ Berry Global กำลังร่วมกันทำงานวิจัยเรื่องระบบการคัดแยกขยะแบบทุติยภูมิ เพื่อที่เราจะสามารถเพิ่มการนำวัสดุที่มีคุณค่าที่ได้จากขยะมูลฝอย เช่น กระดาษ และ พลาสติกหลากหลายประเภท กลับมาใช้ประโยชน์ใหม่
PepsiCo, The Procter & Gamble Company, CP Chemical และ Dow ต่างลงทุนในกองทุน Ocean Fund by Circulate Capital เพื่ออุดช่องว่างทางการเงินสำหรับการเก็บขยะพลาสติกในประเทศต่าง ๆ ทั่วเอเชีย เช่น จีน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย และเวียดนาม
นายเดวิด เทย์เลอร์ ประธาน Alliance to End Plastic Waste และประธานกรรมการ ประธานบริหารและซีอีโอของ Procter & Gamble ระบุในรายงานว่า "ขยะพลาสติกเป็นความท้าทายร้ายแรงที่ต้องจัดการอย่างเร่งด่วนและต้องอาศัยความเป็นผู้นำที่แข็งแกร่ง ผมเชื่อมั่นว่าหนทางเดียวที่จะพาเราไปสู่จุดหมายก็คือ การดำเนินการร่วมกัน นวัตกรรม และการเป็นพันธมิตร Alliance อยู่ในตำแหน่งที่ไม่เหมือนใคร เราสามารถปลดล็อกการหมุนเวียนและมูลค่าทางเศรษฐกิจของพลาสติกที่ผ่านการใช้งานจากผู้บริโภค ด้วยการส่งเสริมมาตรการที่แปลกใหม่หลากหลายมาตรการตามห่วงโซ่คุณค่า ซึ่งเกี่ยวข้องกับบุคคล ภาครัฐและภาคเอกชน"
นอกจากนี้ ในรายงานความก้าวหน้าปี 2563 ยังได้มีการประกาศจุดมุ่งหมายปี 2568 (2025 Ambition) ของ Alliance ซึ่งมุ่งเน้นความสำคัญเชิงกลยุทธ์ไปที่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน นวัตกรรม การกำจัดขยะ และการศึกษา และการมีส่วนร่วม โดย Alliance และสมาชิกจะสร้างแบบจำลองและความร่วมมือที่สามารถลงทุนได้ภายในระยะเวลา 5 ปี เพื่อ:
- สร้างสังคมปลอดขยะพลาสติกในหลายเมือง และแปรสภาพขยะพลาสติกนับล้าน ๆ ตัน ผ่านโครงการของ Alliance ในเมืองที่ตกอยู่ในความเสี่ยงมากกว่า 100 แห่ง
- ส่งเสริมความกินดีอยู่ดีของประชาชนกว่า 100 ล้านคน ด้วยการให้ท้องถิ่นเป็นเจ้าของการดำเนินงานในการจัดการขยะ
- ปลดล็อกการลงทุนอย่างน้อย 5 เท่า และอีกมากมาย เพื่อเร่งการดำเนินการและแนวทางในการหยุดขยะพลาสติก พร้อมสร้างเมืองที่ยั่งยืน
สามารถดาวน์โหลดรายงานความก้าวหน้าประจำปี 2563 ของ Alliance to End Plastic Waste ได้ที่ http://bit.ly/Alliance_ProgressReportPRN
เกี่ยวกับ Alliance to End Plastic Waste
Alliance to End Plastic Waste เป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ไม่แสวงหาผลกำไร ซึ่งร่วมมือกับรัฐบาล องค์กร NGO ด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ ตลอดจนชุมชนต่าง ๆ ทั่วโลกเพื่อแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับขยะพลาสติกในสิ่งแวดล้อม ทาง Allicance มุ่งเน้นแนวทางการแก้ไขปัญหาใน 4 ด้านที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐาน นวัตกรรม การศึกษาและการมีส่วนร่วม และการกำจัดขยะผ่านโครงการและความร่วมมือต่าง ๆ จากข้อมูล ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2563 ทาง Alliance มีบริษัทสมาชิกและผู้สนับสนุนเกือบ 50 แห่ง ซึ่งเป็นบริษัทและองค์กรในห่วงโซ่คุณค่าพลาสติกทั่วโลก
ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: www.endplasticwaste.org
โลโก้ - https://photos.prnasia.com/prnh/20200611/2826525-1LOGO