โปรแกรมวีซ่านักลงทุน EB-5 ของสหรัฐ จะสิ้นสุดลงในวันที่ 30 มิถุนายนนี้ ยกเว้นในกรณีที่สภาคองเกรสมีมติต่ออายุ โปรแกรม EB-5 เปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาอัดฉีดเงินทุนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐ และได้รับกรีนการ์ดหรือสิทธิพำนักถาวรในสหรัฐเป็นการตอบแทน สภาคองเกรสสหรัฐได้เริ่มโปรแกรม EB-5 เมื่อกว่า 30 ปีที่ผ่านมา โดยโปรแกรมดังกล่าวได้สร้างเงินลงทุนกว่า 4.1 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งช่วยรักษาและสร้างงานได้กว่า 820,000 ตำแหน่ง
CS Global Partners บริษัทจากลอนดอนผู้ให้คำปรึกษาด้านการลงทุนเพื่อขอสัญชาติ เปิดเผยว่า โปรแกรมดังกล่าวมีค่าใช้จ่ายเกือบ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ใช้เวลาดำเนินการหลายเดือน ทั้งยังจำกัดจำนวนผู้สมัครเข้าร่วมโปรแกรมที่ 10,000 วีซ่าต่อหนึ่งปีงบประมาณ โดยคุณ Micha Emmett ซีอีโอของ CS Global Partners เปิดเผยว่า ขณะนี้นักลงทุนกำลังมองหาโปรแกรมอื่น ๆ ที่คล้ายกัน เช่น โปรแกรมการลงทุนเพื่อขอสัญชาติ ซึ่งไม่เหมือนกับโปรแกรม EB-5 ตรงที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนที่ผ่านการคัดกรองแล้วได้ใช้สัญชาติและหนังสือเดินทางของประเทศนั้น
"นักลงทุนหลายรายต่างต้องยอมรับโลกแห่งความเป็นจริง และกำลังมองหาแผนสองที่มีความมั่นคงมากขึ้น" คุณ Emmett กล่าว "เมื่อโลกเห็นวิธีรับมือของสหรัฐในการจัดการกับการแพร่ระบาด ตามมาด้วยการเปลี่ยนแปลงอำนาจทางการเมืองที่ไม่ค่อยราบรื่นนัก ครอบครัวต่าง ๆ เริ่มมองหาตัวเลือกที่มั่นคงปลอดภัยกว่า โดยตัวเลือกที่น่าสนใจในสายตานักลงทุนที่มั่งคั่งตอนนี้คือโครงการลงทุนเพื่อขอสัญชาติ"
แนวคิดการลงทุนเพื่อขอสัญชาติถือกำเนิดขึ้นที่ประเทศเกาะสวย หาดขาว แสงแดดสดใสในแคริบเบียนอย่างเซนต์คิตส์และเนวิส เซนต์คิตส์และเนวิสได้ให้การต้อนรับนักลงทุนเพื่อย้ายถิ่นเข้าประเทศอย่างอบอุ่นมาหลายทศวรรษแล้ว โดยดูแลโครงการลงทุนเพื่อขอสัญชาติมาอย่างยาวนานที่สุดในโลก ทั้งยังบริหารจัดการได้ดีเป็นอันดับต้นๆ ของโลกมาตั้งแต่ปี 2527 ด้วย โครงการดังกล่าวได้รับการยอมรับว่าเป็น "มาตรฐานระดับแพลทินัม" ในแวดวงโครงการลงทุนขอสัญชาติระดับโลก นักลงทุนเพียงแค่ต้องผ่านกระบวนการสมัครออนไลน์ ซึ่งส่วนใหญ่ใช้เวลา 60-90 วันก็ได้สัญชาติอย่างเต็มรูปแบบแล้ว โดยเป็นสถิติที่เร็วที่สุดในดัชนี CBI Index ของ Financial Times
เมื่อผู้สมัครลงทุนในกองทุนยอดนิยมอย่าง Sustainable Growth Fund (SGF) แล้ว พวกเขาก็จะได้รับผลประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในการเดินทางไปยังเกือบ 150 ประเทศและดินแดนโดยไม่ต้องใช้วีซ่าหรือแค่ทำ visa-on-arrival ก็เดินทางเข้าได้ ทั้งยังได้สิทธิในการใช้ชีวิตและทำงานในเซนต์คิตส์และเนวิสตลอดชีวิต และที่สำคัญยิ่ง นักลงทุนและครอบครัวยังส่งต่อสัญชาติให้ลูกหลานได้ด้วย
คุณ Emmett กล่าวเสริมว่า "เรากำลังใช้ชีวิตอยู่ในช่วงที่ชาวอเมริกันหันมาขอสัญชาติที่สองและสละหนังสือเดินทางของสหรัฐกันมากขึ้น เพราะภาษีปรับตัวสูงขึ้น เดินทางได้ลำบากขึ้น ขณะที่ระบบสุขภาพก็ภาระล้นเกินไป นักลงทุนต่างชาติมองเห็นสิ่งนี้ และกำลังหาทางทำให้ตัวเองนำเหนือผู้อื่น"
นักลงทุนที่สนใจเป็นพลเมืองเศรษฐกิจของเซนต์คิตส์และเนวิส จะได้สิทธิพิเศษในระยะเวลาจำกัดกับกองทุน SGF โดยเปิดโอกาสให้ครอบครัวที่มีสมาชิกไม่เกิน 4 คนขอสัญชาติผ่านการลงทุนเพียง 150,000 ดอลลาร์สหรัฐ จากเดิมที่ต้องลงทุนถึง 195,000 ดอลลาร์
pr@csglobalpartners.com
www.csglobalpartners.com