รายงานเทรนด์ฟอร์ซ เอเนอร์จีเทรนด์ (TrendForce EnergyTrend) ประจำไตรมาสที่ 2/2565 เปิดเผยว่า ผู้ผลิตเซลล์ 56 รายซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 80% ของผู้ผลิตทั้งหมด สามารถผลิตเซลล์โซลาร์ขนาด 210 มม.ได้แล้ว หรือขยายตัวขึ้น 51% เมื่อเทียบรายปี นอกจากนี้ ผู้ผลิตโมดูล 23 รายได้นำเทคโนโลยี 600W+ มาใช้แล้ว
ปัจจุบัน ต้นทุนของโพลีซิลิคอนได้เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยเหตุนี้ ความจำเป็นในการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และยกระดับอัตราผลตอบแทนภายใน (IRR) ในโครงการต่าง ๆ จึงมีความเร่งด่วนมากขึ้นกว่าเดิม ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์โซลาร์เซลล์ (PV) ขนาดใหญ่และกำลังสูงพิเศษมีความก้าวหน้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากสามารถมอบพลังงานสูง ทรงประสิทธิภาพ เชื่อถือได้ และมีความคุ้มค่ามหาศาล โดยปัจจุบันผลิตภัณฑ์โซลาร์เซลล์คิดเป็นสัดส่วน 80% ของค่าความจุและการจัดส่งเวเฟอร์ เซลล์ และโมดูล และกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นกระแสหลักของตลาด
ดาวน์โหลดรายงานฉบับเต็มได้ที่: https://static.trinasolar.com/sites/default/files/Outlook_Large-Sized_Wafers_Cells_and_Modules_2022-final.pdf
แนวโน้มใหม่: ผู้ผลิตโมดูล 23 รายเลือกใช้เทคโนโลยี 600W+ ขณะโมดูลกำลังสูงกลายดาวเด่นในการเสนอซื้อ
ตัวเลขการเสนอซื้อของเทรนด์ฟอร์ซ (TrendForce) ชี้ให้เห็นว่า อัตราส่วนของโมดูลขนาดใหญ่ 182 และ 210 มม. (รวม 210R) มีผู้ซื้อและนำไปใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างมาก ขณะผลการวิเคราะห์การประกวดราคาโมดูลโซลาร์เซลล์ขนาด 89.4GW บ่งชี้ว่า โมดูลประมาณ 72.2GW (77%) ที่ถูกประมูลไปไม่มีการกำหนดขนาดแบบเฉพาะเจาะจง และผู้ประมูลต้องการกำลัง 530W ขึ้นไป ส่วนการประมูลโมดูลโซลาร์เซลล์ 17.2GW มีการกำหนดขนาดแบบเฉพาะเจาะจง โดยการประมูลโมดูลขนาดใหญ่ (182 และ 210 มม.) คิดเป็นสัดส่วน 13.97 GW หรือ 81.2%
โมดูลกำลังสูงขนาดใหญ่กำลังกลายเป็นกระแสหลักที่นิยมในตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโรงไฟฟ้าภาคพื้น นอกจากนี้ คาดว่าผลิตภัณฑ์โซลาร์เซลล์แสงขนาดใหญ่จะเติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดที่กำลังเฟื่องฟูด้วย
ค่าความจุของเวเฟอร์ขนาด 210 มม. เพิ่มขึ้น 172% ขณะส่วนแบ่งการตลาดของเวเฟอร์ขนาดใหญ่เกินระดับ 80%
ค่าความจุที่สร้างขึ้นใหม่ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ส่วนมากสามารถรองรับเวเฟอร์ขนาดใหญ่ที่ 182 และ 210 มม. โดยผลการสำรวจของเทรนด์ฟอร์ซ เอเนอร์จีเทรนด์ ระบุว่า เวเฟอร์ขนาดใหญ่ (182 และ 210 มม.) มีค่าความจุแตะ 422.6 GW ในปีนี้ หรือคิดเป็นสัดส่วน 83.1% โดยในจำนวนดังกล่าว เวเฟอร์ขนาด 210 มม. มีค่าความจุคิดเป็น 164 GW (32.25%) เพิ่มขึ้น 172% เมื่อเทียบเป็นรายปี (60.1GW ในปี 2564) ทั้งนี้ แผ่นเวเฟอร์ขนาดใหญ่ (182 และ 210 มม.) จะมีส่วนแบ่งการตลาดขยายตัวขึ้นแตะ 89.97% ภายในปี 2566 ส่วนเวเฟอร์ขนาด 210 มม. มีค่าความจุคิดเป็น 274.6 GW หรือ 46.35%
ความคืบหน้าในการทำให้แผ่นเวเฟอร์มีขนาดบางลงนั้นให้ผลลัพธ์เกินกว่าที่คาดไว้ในเบื้องต้น ส่งผลให้มีการใช้แผ่นเวเฟอร์ขนาดใหญ่ลดลงอย่างมาก ธุรกิจที่ต้องเผชิญกับราคาวัตถุดิบที่สูงอย่างต่อเนื่องกำลังลดการใช้เวเฟอร์ลงอย่างโดยเปลี่ยนจากขนาด 165?m เป็น 160/155?m และคาดว่าจะปรับขนาดลงเหลือ 150?m ดังนั้น การใช้เวเฟอร์จึงคาดว่าจะลดลงจาก 2.7-2.8g/W ในปี 2564 เหลือประมาณ 2.6g/W
ธุรกิจ 80% ผลิตเซลล์ขนาด 210 มม. โดยวนซ้ำระหว่างความจุเก่ากับความจุใหม่ได้
การติดตั้งเซลล์ขนาดใหญ่ 182 และ 210 มม. (รวม 210R) ลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับการอัปเกรดและการวนซ้ำของธุรกิจ รวมถึงความต้องการที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค การศึกษาของเทรนด์ฟอร์ซ ระบุว่า ค่าความจุรวมของเซลล์ขนาด 182 และ 210 มม. (รวม 210R) อยู่ที่ประมาณ 82.5% ในขณะที่เซลล์ขนาดใหญ่ (182 และ 210 มม.) มีแนวโน้มที่จะมีค่าความจุถึง 593.25GW ในปี 2566 และค่าความจุรวมของเซลล์ 210 มม. อาจไปได้ถึง 380.4GW ขณะส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 57.59%
โมดูลขนาดใหญ่คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 80% ของการจัดส่งในไตรมาสที่ 1/2565
ผู้ผลิตโมดูลรายใหญ่มียอดการจัดส่งรวม 34.31GW ในไตรมาสที่ 1/2565 โดยโมดูลขนาดใหญ่ (182 และ 210 มม.) คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 27.26GW หรือ 79% ทั้งนี้ ความต้องการ M6 และโมดูลขนาดเล็กกว่าที่ลดลงนั้นสะท้อนให้เห็นท่ามกลางยอดการจัดส่งโมดูลขนาดใหญ่ที่เพิ่มขึ้น ผู้ผลิตโมดูลรายใหญ่คาดว่าจะมียอดจัดส่งทั้งหมด 203-230GW ตลอดปี 2565 และการจัดส่งโมดูล 210 มม. (รวมถึง 210R) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
เทคโนโลยี 210 และ N-Type กำลังมาแรง
เนื่องจากเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ PERC ได้มาถึงจุดตัดของการปรับปรุงประสิทธิภาพและต้นทุนวัสดุ การขนส่ง และการเพิ่มพื้นที่ ด้วยเหตุนี้ การปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการแปลงพลังงานเพิ่มเติม การลดต้นทุนของระบบ และการเร่งความเร็วในการทำซ้ำและการอัปเกรดเทคโนโลยีประเภท N-type จึงมีความจำเป็นสำหรับธุรกิจเซลล์แสงอาทิตย์ที่ต้องการได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาด ดังนั้น ผลิตภัณฑ์ขนาด 210 มม.จึงถูกคิดค้นขึ้น ขณะที่ในอนาคตอาจมีความเป็นไปได้ที่จะมีเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำมากกว่านี้ เนื่องจากปัจจุบันโมดูลสามารถรองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างเปิดกว้างและครอบคลุม
เมื่อเดือนที่ผ่านมา ทรินา โซลาร์ (Trina Solar) ได้ประกาศขยายกำลังการผลิตในโรงงานซีหนิง โดยเน้นที่เทคโนโลยี N-type และ 210 แบบใหม่ ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้าในฐานะซัพพลายเออร์วัสดุหลักรายใหญ่ โดยกำลังไฟฟ้าของโมดูลคาดว่าจะสูงแตะ 700W หรืออาจสูงกว่านั้น ด้วยการผสมผสานเทคโนโลยี N-type เข้ากับ 210 การมีขึ้นของผลิตภัณฑ์ขนาดใหญ่และเทคโนโลยีขั้นสูงได้เปิดทางสู่การปรับปรุงประสิทธิภาพและลดต้นทุน โดยเทคโนโลยี 210 และ N-type จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับต้นทุนการผลิตไฟฟ้าต่อหน่วยไฟฟ้าปรับเฉลี่ย (LCOE) ต่อไป นอกจากนี้ยังอาจช่วยเพิ่มอัตราส่วนของโซลาร์เซลล์ในพลังงานหมุนเวียน และช่วยบรรลุเป้าหมายจุดสูงสุดของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน