ใกล้สิ้นสุดปี 2565 แล้ว แต่โลกยังคงต้องต่อสู้กับโควิด-19 รวมถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอยและสถานการณ์ความขัดแย้ง โดยท่ามกลางความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่เพิ่มมากขึ้น วิธีที่จีนจัดการกับความสัมพันธ์กับโลกนั้นกำลังได้รับความสนใจ
ในพิธีเปิดการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ครั้งที่ 20 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ได้ชี้ให้เห็นว่า โลกได้มาถึงทางแยกในประวัติศาสตร์อีกครั้ง และแนวทางในอนาคตจะถูกตัดสินโดยประชาชนทั่วโลก
"ชาวจีนพร้อมที่จะทำงานร่วมกับผู้คนทั่วโลก เพื่อสร้างอนาคตที่สดใสยิ่งขึ้นสำหรับมวลมนุษยชาติ" นายสี จิ้นผิง กล่าว
นายสี จิ้นผิง กล่าวเสริมว่า จีนมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายด้านนโยบายต่างประเทศในการส่งเสริมสันติภาพของโลกและส่งเสริมการพัฒนาร่วมกันมาโดยตลอด
"มิตรสหาย" กำลังเพิ่มขึ้น
นายหม่า จาวสวี่ (Ma Zhaoxu) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศจีน แถลงข่าวที่กรุงปักกิ่งเมื่อวันพฤหัสบดีว่า ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จำนวนประเทศทั้งหมดที่จีนได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเพิ่มขึ้นเป็น 181 ประเทศ
การแถลงข่าวดังกล่าวจัดขึ้นโดยศูนย์สื่อมวลชนของการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ครั้งที่ 20 ในหัวข้อ "ภายใต้แนวคิดด้านการทูตของนายสี จิ้นผิง ขับเคลื่อนไปข้างหน้าและมุ่งมั่นสร้างสรรค์สิ่งใหม่ เพื่อการทูตของประเทศใหญ่ที่มีเอกลักษณ์แบบจีน"
"เราได้สร้างความร่วมมือกับ 113 ประเทศและองค์กรระดับภูมิภาค สร้างมิตรภาพทั่วโลก และสร้างเครือข่ายหุ้นส่วนระดับโลก" นายสี จิ้นผิง กล่าว
การปกป้องอำนาจอธิปไตยของชาติ ความมั่นคง และพัฒนาผลประโยชน์ของจีนอย่างมีประสิทธิผล ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของการทูตจีน
จีนมีส่วนร่วมในการต่อสู้กับคำพูดและการกระทำที่เป็นอันตรายต่อผลประโยชน์และเกียรติภูมิของชาติ เช่น การต่อสู้อย่างเด็ดเดี่ยวในคำถามเรื่องไต้หวัน รวมถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับฮ่องกงและซินเจียง เป็นต้น
นอกจากนี้ การทูตระดับประมุขของรัฐได้ทำให้ประชาคมโลกเข้าใจจีนอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ได้เดินทางไปเยือนต่างประเทศทั้งหมด 42 ครั้ง รวม 69 ประเทศ ใน 5 ทวีป รวมทั้งต้อนรับประมุขของรัฐและผู้นำรัฐบาลมากกว่า 100 คนที่มาเยือนจีน ซึ่งถือเป็นแผนการใหญ่สำหรับความร่วมมือระหว่างจีนกับประเทศอื่น ๆ
การสร้างประชาคมแห่งการพัฒนาระดับโลกที่มีอนาคตร่วมกัน
นายหม่าเน้นย้ำที่งานแถลงข่าวว่า การปกป้องสันติภาพของโลก การส่งเสริมการพัฒนาร่วมกัน และการสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันของมวลมนุษยชาติ คือเป้าหมายโดยรวมของการทูตจีนในยุคใหม่
เช่นเดียวกับที่นายหม่ากล่าว จีนได้ดำเนินการและจะดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมต่อไปเพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว
ยกตัวอย่างเช่น ตั้งแต่ปีที่แล้ว นายสี จิ้นผิง ได้ผลักดันแผนการพัฒนาโลก (Global Development Initiative) และแผนความมั่นคงโลก (Global Security Initiative) เพื่อส่งเสริมวิสัยทัศน์ในการสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันของมวลมนุษยชาติ
นอกจากนี้ โครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative หรือ BRI) ที่นำเสนอโดยจีนนั้น ได้กลายมาเป็นโครงการริเริ่มสาธารณะระดับสากลและเป็นเวทีสำหรับความร่วมมือทางเศรษฐกิจระดับโลกที่ชี้นำโดยวิสัยทัศน์ร่วมกัน
รายงานของคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ (NDRC) ระบุว่า ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2565 จีนได้ลงนามข้อตกความร่วมมมือในโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางมากกว่า 200 ฉบับ ร่วมกับ 149 ประเทศ และองค์กรระหว่างประเทศ 32 แห่ง
ท่ามกลางการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ทั่วโลกและวิกฤตในยูเครน จีนได้พิสูจน์ความมุ่งมั่นในการปฏิบัติตามเป้าหมายทางการทูตโดยรวมของประเทศ โดยในการยืนอยู่แนวหน้าของความร่วมมือต่อต้านการแพร่ระบาดระหว่างประเทศ จีนได้ปฏิบัติการด้านมนุษยธรรมฉุกเฉินครั้งใหญ่ที่สุดในโลก และส่งเสริมการสร้างประชาคมสุขภาพระดับโลกเพื่อทุกคน
นับตั้งแต่วิกฤตในยูเครนปะทุขึ้นเมื่อต้นปีนี้ จีนได้ใช้ความพยายามอย่างไม่ลดละเพื่อคลายความตึงเครียด และทำงานอย่างแข็งขันเพื่อส่งเสริมการเจรจาระหว่างรัสเซียกับยูเครน พร้อมกับสนับสนุนการสร้างสันติภาพและพยายามอย่างเต็มที่เพื่อผลักดันการเจรจา
รายงานในการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ครั้งที่ 20 เน้นย้ำว่า การทูตของจีนในยุคใหม่นั้นดึงดูดความสนใจของโลกอย่างไม่ต้องสงสัย โดยนายสี จิ้นผิง กล่าวว่า จีนมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายด้านนโยบายต่างประเทศในการส่งเสริมสันติภาพของโลกและส่งเสริมการพัฒนาร่วมกันมาโดยตลอด
คำตอบนั้นหนักแน่นและชัดเจน
https://news.cgtn.com/news/2022-10-20/20th-CPC-National-Congress-How-China-responds-to-a-changing-world-1ehnuddaaRy/index.html