สมาพันธ์โรคเบาหวานสากลแนะรัฐบาลใส่ใจโรคเบาหวาน หวั่นลุกลามรุนแรงสุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ

ข่าวต่างประเทศ Thursday April 26, 2007 17:53 —Asianet Press Release

บาร์เซโลนา--26 เม.ย.--พีอาร์นิวส์ไวร์-เอเชียเน็ท/อินโฟเควสท์
- ผลสำรวจของ IDF ฉบับใหม่ ว่าด้วยการออกเอกสารเรื่องวิธีการป้องกันโรคเบาหวาน
การป่วยด้วยโรคเบาหวานจำนวนมากกำลังคุกคามการบริการด้านสุขภาพทั่วโลกอย่างยิ่ง ในวันนี้ สมาพันธ์โรคเบาหวานสากล (IDF) ได้ออกแถลงการณ์เชิงสำรวจฉบับใหม่เกี่ยวกับการป้องกันโรคเบาหวาน โดยจะมีการตีพิมพ์เอกสารเรื่อง "ยารักษาโรคเบาหวาน (Diabetic Medicine)" ในเดือนพ.ค.นี้ ซึ่งถือเป็นประเด็นสำคัญในที่ประชุมสมัชชาทั่วไปขององค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ในเดือนธ.ค.ปีพ.ศ.2549 โดยที่ประชุมมีมติเรียกร้องให้ทั่วโลกหันมาใส่ใจในเรื่องนี้
"มติที่ประชุมยูเอ็นถือเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่จะต่อสู้กับโรคเบาหวานที่แพร่ระบาดรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ โรคเบาหวานได้คร่าชีวิตผู้ป่วยเกือบ 4 ล้านคนทุกปี ทั้งนี้ เนื่องจากมีประชาชน 246 ล้านคนเป็นโรคเบาหวานในขณะนี้ และคาดว่าภายในปีพ.ศ.2568 จะมีผู้ป่วยโรคเบาหวาน 380 ล้านคน จึงทำให้เชื่อว่าโรคเบาหวานจะเป็นโรคที่ทำลายเศรษฐกิจของชาติ (1)" ศาสตราจารย์พอล ซิมเม็ท ผู้อำนวยการสถาบันโรคเบาหวานสากล และเป็นผู้ร่วมเขียนแถลงการณ์สำรวจ "โรคเบาหวานประเภท 2 สามารถป้องกันได้ แต่คงต้องได้รับความเห็นชอบทางการเมืองในหลายๆด้านจากภาครัฐ เพื่อให้เป้าหมายดังกล่าวเป็นจริงได้ ซึ่งการจะไปถึงเป้าหมายได้ก็ด้วยการสร้างบรรยากาศที่สนับสนุนให้ประชาชนเปลี่ยนวิถีชีวิต นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเราจึงออกมาเรียกร้องทุกประเทศให้รับรองมติยูเอ็นและเรียกร้องให้พุ่งเป้าหมายไปที่ประชากรทั้งหมด โดยผ่านการพัฒนาและการนำแผนป้องกันโรคเบาหวานแห่งชาติ (National Diabetes Prevention) มาใช้ให้สำเร็จ"
การสำรวจของ IDF บ่งชี้ว่า ประชาชนทุกคนล้วนมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกระบุว่าเป็นโรคเบาหวานประเภท 2 เมื่อมีโอกาสให้แพทย์ พยาบาล เภสัชกร ได้ทำการคัดกรอง และทำการคัดกรองด้วยตนเอง
ศาสตราจารย์ เซอร์ จอร์จ อัลเบอร์ตี อดีตประธาน IDF และผู้ร่วมเขียนแถลงการณ์เชิงสำรวจฉบับใหม่กล่าวว่า "มีหลักฐานมากมายจากผลการศึกษาในสหรัฐอเมริกา ฟินแลนด์ จีน อินเดีย และญี่ปุ่น บ่งชี้ว่า การเปลี่ยนวิถีชีวิต (โดยมีเป้าหมายที่การควบคุมน้ำหนักร่างกายเพื่อสุขภาพและออกกำลังกายตามสมควร) จะช่วยป้องกันการลุกลามของโรคเบาหวานประเภท 2 ในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงได้ (2-6) การสำรวจของ IDF ฉบับใหม่ทำให้เรามองว่า ในเบื้องต้นนั้นควรจะมีการแทรกแซงประชาชนทุกคนที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานประเภท 2 และให้ความสนใจกับสุขภาพของประชาชน"
นอกเหนือจากความจำเป็นในการเปลี่ยนวิถีชีวิตของประชาชนแล้ว IDF ยังตระหนักว่า ภาวะแวดล้อมมีอิทธิผลต่อพฤติกรรม รูปแบบการรับประทานอาหาร และการออกกำลังกายของประชาชนในชุมชน
"หากขาดความเอาใจใส่แล้ว หน่วยงานรัฐบาลของเราเองอาจจะเป็นผู้ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดด้วยการปล่อยให้ประชาชนที่มีความเสี่ยงเข้าไปสร้างปัญหาสังคมในระดับเมือง" ศาสตราจารย์เอวี ไฟร์ดแมน ผู้เชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรมจากมหาวิทยาลัยแมคกิลล์ เมืองมอนทรีอัล กล่าว "การระบาดในเมืองถือเป็นส่วนหนึ่งและอาจเป็นสาเหตุใหญ่ของการลุกลามครั้งใหม่ หากไม่มีการเอาใจใส่อย่างเหมาะสมในการก่อสร้างออกแบบ ทางเท้า ทางรถจักรยาน เส้นทางการขนส่งมวลชน สนามเด็กเล่น และพื้นที่ออกกำลังกายที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็น ที่จะต้องเข้าถึงประชาชนที่ต้องการรักษาวิถีชีวิตให้มีสุขภาพดีต่อไปได้"
แผนป้องกันโรคเบาหวานแห่งชาติต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านนโยบายและกฎหมายในทุกภาคส่วน รวมถึงด้านสาธารณสุข การศึกษา การกีฬา และเกษตรกรรม อีกทั้งต้องมีการพัฒนาความสัมพันธ์เพื่อประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย ซึ่งจะต้องมีความอ่อนไหวทางด้านวัฒนธรรมและมีความตั้งใจที่จะรวมทุกภาคส่วนในสังคมเข้าด้วยกัน
"โรคเบาหวานทำให้สังคมสูญเสียเงินไปมาก ตอนนี้การตัดสินใจขึ้นอยู่กับนักการเมืองว่าจะยอมอนุมัติงบประมาณมากขึ้นในการจัดซื้อยาและการรักษาที่ปลายเหตุ หรือจะลงทุนป้องกันโรคด้วยการสนับสนุนให้ผู้คนเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิต หรือไม่" ศาสตราจารย์อัลเบอร์ตีกล่าว
"สนธิสัญญาแบบเดียวกับสนธิสัญญาเกียวโตเพื่อป้องกันและจัดการกับโรคเบาหวานเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับรัฐบาลทั่วโลก ถ้าเราต้องการป้องกันไม่ให้ปัญหานี้ลุกลามใหญ่โต" ศาสตราจารย์ซิมเม็ตสรุป
สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการแถลงข่าวผ่านเว็บแคสต์ได้ที่ < http://www.idf.org/webcast/barcelona >
หมายเหตุ:
สมาพันธ์โรคเบาหวานสากล (ไอดีเอฟ) เป็นองค์กรที่ให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยโรคเบาหวานกว่า 240 ล้านคนทั่วโลก โดยมีเครือข่ายสมาคมโรคเบาหวานกว่า 200 แห่งใน 150 ประเทศ ภารกิจของไอดีเอฟคือ สนับสนุนการดูแล ป้องกัน และรักษาโรคเบาหวานทั่วโลก ไอดีเอฟเป็นองค์กรเอกชนซึ่งมีความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับองค์การอนามัยโลก
เกี่ยวกับโรคเบาหวาน
ทุกปีจะมีผู้ป่วยโรคเบาหวานเพิ่มขึ้นกว่า 7 ล้านคน โดยมีผู้เป็นโรคเบาหวานประเภทที่ 2 เพิ่มขึ้นมากที่สุด ซึ่งเกิดจากรูปแบบการใช้ชีวิตที่เร่งรีบและมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก สิ่งนี้ทำให้เห็นว่ารูปแบบการใช้ชีวิตเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรค ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานประเภทที่ 2 มีโอกาสเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ (CVD) ได้มากกว่าคนปกติถึง 2-4 เท่า และ 80% ของคนที่เป็นโรคเบาหวานเสียชีวิตเพราะโรคนี้ ในขณะที่การเสียชีวิตก่อนวัยอันควรจากโรคเบาหวานเกิดขึ้นกับเด็กอายุ 12-14 ปีโดยเฉลี่ย คนที่เป็นโรคเบาหวานต้องเสียค่าใช้จ่ายทางการแพทย์มากกว่าคนปกติ 2-5 เท่า โดยองค์การอนามัยโลกประมาณการว่างบประมาณเพื่อสุขภาพกว่า 15% ถูกใช้ไปกับการเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับโรคเบาหวาน ( www.idf.org < http://www.idf.org >)
มีหลักฐานบ่งชี้ชัดเจนว่าการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ความดันเลือด และไขมันในเลือดให้ดี สามารถทำให้กระบวนการเกิดโรคเบาหวานประเภทที่ 2 ช้าลงได้ เป็นผลให้ความเสี่ยงในการเกิดโรคแทรกซ้อนอื่นในผู้ป่วยเบาหวานลดลงด้วย (เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ ดวงตา และไต
ข้อมูลอ้างอิง
(1) Diabetes Atlas, third edition, International Diabetes Federation, 2006
(2) Pan X, Li g, Hu Y, Wang J, Yang W, An Z. Effects of diet and exercise
in preventing NIDDM in people with impaired glucose tolerance. The Da Qing IGT
and Diabetes Study. Diabetes Care 1997; 20: 537-544
(3) Tuomilehto J. Lindstrom J, Eriksson J, Valle T, Hamalainen H.
Prevention of type 2 diabetes mellitus by changes in lifestyle among subjects
with impaired glucose tolerance. N Engl J Med 2001; 344: 1343-1350
(4) Ramachandran A, Snehalatha C, Mary S, Mukesh B, Bhaskar A, Vijay V.
The Indian Diabetes Prevention Programme shows that lifestyle modification and
metformin prevent type 2 diabetes in Asian Indian subjects with impaired
glucose tolerance (IDPP-1). Diabetologia 2006; 49 (2): 289-297
(5) Knowler W, Barrett-Connor E, Fowler SE, Hamman RF, Lachin JM.
Reduction in the incidence of type 2 diabetes with lifestyle intervention or
metformin. N Engl J Med 2002; 346: 393-403
(6) Kosaka K, Noda M, Kuzuya T. Diab Res Clin Pract 2005; 67: 152-162
แหล่งข่าว: สมาพันธ์โรคเบาหวานสากล
ติดต่อ: แอนนี่ เพียร์สัน, ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์, สมาพันธ์โรคเบาหวานสากล
โทร: +32-2-543-1623
มือถือ: +32-475-343-788
อีเมล์: anne@idf.org < mailto:anne@idf.org >
เคท ไอเรส, แมนดาริน เฮลท์แคร์ คอมมูนิเคชั่นส์
โทร: +44-1727-854-239
มือถือ: +44-7850-374860
อีเมล์: kait.ayres@talk21.com < mailto:kait.ayres@talk21.com >
เว็บไซต์ < http://www.idf.org >
--เผยแพร่โดย เอเชียเน็ท ( www.asianetnews.net )--

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ