พร้อมลงนาม FTA ไทย-ชิลี ต.ค.นี้ รมว.พาณิชย์ เชื่อการค้าการลงทุนระหว่างกันเพิ่มมากขึ้น

ข่าวทั่วไป Wednesday August 21, 2013 14:03 —กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ

เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐชิลีประจำประเทศไทย (H.E. Mr. JavierBecker) เข้าพบรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เพื่อเยี่ยมคารวะและหารือเรื่องการลงนามความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทยกับชิลี เพื่อเป็นกลไกขยายการค้าและการลงทุนระหว่างกัน

นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาลรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 14สิงหาคม 2556 ได้ร่วมหารือกับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐชิลี เกี่ยวกับการลงนามความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทยกับชิลีโดยฝ่ายชิลีแจ้งว่าประธานาธิบดีชิลี มีกำหนดจะเดินทางมาเยือนไทย ระหว่างวันที่ 3-4ตุลาคม 2556 เพื่อเป็นสักขีพยานการลงนามความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทยกับชิลี ซึ่งความตกลงฯดังกล่าวชิลีให้ความสำคัญมาก เนื่องจากเห็นว่าประเทศไทยมีศักยภาพ และเป็นฐานการผลิตและการค้าของอาเซียนรวมทั้งไทยเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของชิลีในบรรดาสมาชิกอาเซียนโดยมีมูลค่าการค้าระหว่างกันประมาณ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

ทั้งนี้ นักลงทุนชิลีให้ความสนใจที่จะลงทุนในไทยมากขึ้นซึ่งจะเห็นได้จากที่บริษัทMagotteaux เข้ามาลงทุนและตั้งโรงงานผลิตลูกเหล็กบดและอุปกรณ์สำหรับทำเหมืองในไทยเพื่อส่งออกไปยังประเทศที่สาม และบริษัท Soquimich ผู้ผลิตปุ๋ยและเคมีภัณฑ์ได้มาเปิดสำนักงานที่กรุงเทพฯรวมถึงศูนย์ทดสอบทางวิทยาศาสตร์ของชิลี ก็อยู่ระหว่างการจัดตั้งธุรกิจเพื่อผลิตยาในไทยในปัจจุบันการลงทุนของไทยในชิลียังมีปริมาณไม่มากนัก ชิลีจึงขอให้ไทยสนับสนุนนักธุรกิจไทยไปลงทุนในสาขาที่ชิลีมีศักยภาพเช่น อุตสาหกรรมอาหาร ปลาแซลมอน ผลไม้ การผลิตไวน์ เป็นต้น

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์แสดงความยินดีที่ประธานาธิบดีของชิลี จะให้เกียรติเดินทางมาเยือนไทย และเป็นสักขีพยานการลงนามFTA ไทย-ชิลี นอกจากนี้ ยังได้ขอบคุณที่ชิลีให้ความสำคัญกับการค้าและการลงทุนในไทยและเชื่อมั่นว่าหากมีการลงนามความตกลงFTA ไทย-ชิลี จะทำให้การค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับชิลีเพิ่มมากขึ้นทั้งนี้ จะให้การสนับสนุนและความร่วมมือในการชักชวนนักธุรกิจไทยให้เข้าไปลงทุนในชิลีโดยชิลีจะเป็นประตูการค้าสำคัญของไทยในการขยายตลาดในภูมิภาคละตินอเมริกา

นายสมเกียรติ ตรีรัตนพันธ์รองอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวเสริมว่า ความตกลงการค้าเสรีไทย-ชิลีเป็นความตกลงที่มีกรอบกว้าง (Comprehensive Agreement) ประกอบด้วยข้อบทด้านการค้าสินค้าการค้าบริการ พิธีการศุลกากร กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้ามาตรการปกป้องและเยียวยาทางการค้า มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชมาตรการอุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า การระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐ ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและความโปร่งใส ส่วนข้อบทการลงทุนจะมีการเจรจาภายใน 2 ปี นับจากความตกลงมีผลใช้บังคับ

ทั้งนี้ หากความตกลงฯดังกล่าวมีผลใช้บังคับสินค้าชิลีและไทย อย่างน้อยร้อยละ 90 ของรายการสินค้าและมูลค่าการนำเข้า จะลดภาษีลงเหลือร้อยละ0 สำหรับสินค้าที่เหลืออีกร้อยละ 10 ของรายการสินค้าทั้งหมดทั้งสองฝ่ายจะลดภาษีลงเป็นลำดับ ทั้งนี้สินค้าที่คาดว่าไทยจะได้รับประโยชน์จากความตกลงฯ อาทิ ยานยนต์ ปลาแปรรูป(ปลากระป๋อง) โพลิเมอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้างโดยเฉพาะปูนซีเมนต์ เม็ดพลาสติก ยางและผลิตภัณฑ์จากยาง และอัญมณี ในขณะที่ชิลีจะได้ประโยชน์จากสินค้าที่ไทยมีความต้องการนำเข้าอาทิ ทองแดง สินแร่เหล็ก และเยื่อกระดาษ

ปัจจุบัน ชิลีเป็นคู่ค้าสำคัญอันดับที่3 ของไทยในภูมิภาคอเมริกาใต้ รองจากบราซิล อาร์เจนตินา ในปี 2555 ไทยได้ดุลการค้ากับชิลี 278.07 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยส่งออกไปชิลีเป็นมูลค่า 628.25 ล้านเหรียญสหรัฐ (เพิ่มขึ้น 21.05%) ในขณะที่นำเข้าจากชิลี เป็นมูลค่า 350.18 ล้านเหรียญสหรัฐ(ลดลงร้อยละ 2.1) โดยสินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปชิลี ได้แก่ รถยนต์/อุปกรณ์ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ปูนซีเมนต์ เครื่องจักรกล ผลิตภัณฑ์ยาง/พลาสติก อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องนุ่งห่ม เป็นต้น และสินค้านำเข้าสำคัญของไทยจากชิลี ได้แก่ สินแร่ โลหะ สัตว์น้ำสด/แช่เย็น/แช่แข็งแปรรูป เยื่อกระดาษปุ๋ยและยากำจัดศัตรูพืชและสัตว์ เป็นต้น

กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เลขที่ 44/100 ถ.นนทบุรี1 ต. บางกระสอ อ. เมือง จ. นนทบุรี 11000

โทรศัพท์ (66) 2507-7444 แฟกซ์ (66) 2547-5630


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ