อินเดียขอทบทวนความตกลง FTA กับไทย หลังยอดนำเข้าพุ่ง

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday February 5, 2014 14:52 —กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ

อินเดียขอทบทวนความตกลง FTA กับไทย หลังยอดนำเข้าพุ่ง ทำขาดดุลการค้านำร่องขึ้นภาษีเบรกนำเข้าทองคำ เหตุสินค้าไทยได้รับความนิยมสูงเป็นที่ต้องการของตลาด แนะผู้ส่งออกปฏิบัติตามกฎถิ่นกำเนิดสินค้าป้องกันการสวมสิทธิ์ จนถูกใช้เป็นข้ออ้างขอปลดออกจากบัญชีลดภาษีในอนาคต

นายสมเกียรติ ตรีรัตนพันธ์ รองอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเปิดเผยว่า ขณะนี้หน่วยข่าวกรองด้านสรรพากรของอินเดีย (The Directorate of Revenue Intelligence: DRI) ซึ่งอยู่ภายใต้กระทรวงการคลังของอินเดียซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบการลักลอบสินค้าผิดกฎหมาย เช่น ยาเสพติด ทองคำ เพชรอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ธนบัตรปลอม และอื่นๆ มีความต้องการทบทวนความตกลงการค้าเสรี(FTA) ที่อินเดียได้ทำกับประเทศต่างๆ รวมถึงไทยโดยจะเสนอให้เพิ่มอำนาจหน่วยงานจัดเก็บภาษีให้สามารถระงับการค้าโดยอัตโนมัติหากตรวจพบว่าการใช้ความตกลง FTA ผิดวัตถุประสงค์จากการสวมสิทธิ์ถิ่นกำเนิดสินค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าเครื่องประดับทองคำที่ส่งผลให้อินเดียขาดดุลการค้าเป็นอย่างมาก

ทั้งนี้ ในการทำ FTA ไทย-อินเดียการค้าระหว่างกันได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2555 ไทยมีการ ส่งออกไปยังอินเดียประมาณ 5.4 พันล้านเหรียญสหรัฐนำเข้า 3.4 พันล้านเหรียญสหรัฐโดยอินเดียเป็นฝ่ายขาดดุลการค้ากับไทยซึ่งทำให้อินเดียมีความพยายามที่จะขอทบทวนข้อตกลง FTA มาโดยตลอดและที่ผ่านมา ได้เริ่มเข้างวดในการนำเข้าสินค้าบางรายการแล้ว เช่น ทองคำเพราะอินเดียเก็บภาษีนำเข้าจากไทยเพียง 1.01% แต่เก็บจากประเทศอื่น15% ทำให้เป็นช่องทางให้ผู้ประกอบการบางรายใช้สิทธิ FTAไทย-อินเดีย เพื่อหลีกเลี่ยงการชำระอากร

“ชาวอินเดียนิยมเครื่องประดับทองรูปพรรณของไทยเพราะมีความบริสุทธิ์ของเนื้อทองสูงถึง 96.5% ซึ่งตรงตามรสนิยมและสินค้าไทยมีคุณภาพเป็นที่ยอมรับในระดับสากล จึงส่งผลให้สินค้าไทยเป็นที่นิยมมากประกอบกับชาวอินเดียนิยมซื้อทองคำมากกว่าการฝากเงินในธนาคารและภาษีนำเข้าที่ถูกกว่าประเทศอื่นๆ การนำเข้าจากไทยจึงเพิ่มขึ้นมาก”

นายสมเกียรติ กล่าวว่าอินเดียได้แก้ปัญหา โดยระงับการนำเข้าสินค้าทองคำจากไทยตั้งแต่เดือนก.พ. ปีที่แล้วโดยอ้างว่าหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าของไทยไม่ชัดเจนและอินเดียมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการสวมสิทธิ์ถิ่นกำเนิดจากไทยซึ่งตามปกติสินค้าทองคำที่จะขอรับสิทธิพิเศษได้จะต้องมีการผลิตหรือสร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศไทย20% ของมูลค่าสินค้าแต่อินเดียได้กักสินค้าไทยไว้ที่ด่านและเรียกเก็บอากรในอัตราปกติที่ 15% และไม่ได้มีการหารือกับไทยเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ทั้งๆที่ภายใต้ความตกลง FTA กำหนดให้ต้องมีการหารือกันเพื่อแก้ปัญหา

ผลจากการตรวจสอบการนำเข้าอย่างเข้มงวดทำให้ในช่วงปี 2556 ไทยส่งออกเครื่องประดับทองคำไปอินเดียได้มูลค่า 9.37ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจาก 123.95 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2555 และทองรูปพรรณ 1.48ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจาก 52.73 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2555 ซึ่งเป็นการส่งออกที่ลดลงถึง90%

“ที่ผ่านมาอินเดียยังได้ปรับเพิ่มอากรในสินค้าดังกล่าวหลายครั้งและปัจจุบันอินเดียได้เรียกเก็บอากรของสินค้าเครื่องประดับทองคำจากไทยในอัตรา 15% และสินค้าทองคำ เช่น ทองคำแท่ง เหรียญทอง ทองที่ยังไม่ได้ขึ้นรูปโดยเรียกเก็บในอัตรา 10%”

นอกจากนี้อินเดียยังได้เข้มงวดการนำเข้าทองคำจากประเทศต่างๆโดยมีมาตรการลดการนำเข้าโดยกำหนดให้การนำเข้ามายังอินเดีย ผู้นำเข้าจะต้องส่งออก 20%ของทองคำที่นำเข้าทำให้ยอดนำเข้าทองคำจากประเทศต่างๆ ลดลงถึง 88.45% ทั้งจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ฮ่องกง และไทย

นายสมเกียรติกล่าวเสริมว่า แนวทางในการรักษาตลาดทองคำของไทยในอินเดียผู้ผลิตและผู้ส่งออกทองของไทยควรที่จะปฏิบัติตามกฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้าภายใต้ FTA ไทย-อินเดียอย่างเคร่งครัด เพื่อมิให้อินเดียอ้างได้ว่าต้องทำการทบทวน FTA กับไทย เนื่องจากมีการสวมสิทธิ์แหล่งกำเนิดสินค้าทองคำของไทย

สำหรับ FTA ไทย-อินเดียได้เริ่มลดภาษีสินค้าระหว่างกันจำนวน 82 รายการ ตั้งแต่ 1ก.ย.2547 และทยอยลดภาษีจนเหลือ 0% ภายในวันที่ 1 ก.ย.2549 ต่อมาปี2555 ได้เพิ่มสินค้าอีก 1 รายการ คือตู้เย็น 2 ประตู โดยก่อนลดภาษีไทยขาดดุลการค้ากับอินเดียมาโดยตลอดแต่ภายหลังลดภาษี การส่งออกของไทยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและเริ่มได้ดุลการค้าตั้งแต่ปี 2548 จนปัจจุบันได้ดุลการค้ากว่า 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ

กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เลขที่ 44/100 ถ.นนทบุรี1 ต. บางกระสอ อ. เมือง จ. นนทบุรี 11000

โทรศัพท์ (66) 2507-7444 แฟกซ์ (66) 2547-5630


แท็ก อินเดีย   บัญชี   FTA  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ