สหภาพยุโรปกับการจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐสีเขียว: Green Public Procurement (GPP)

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday October 16, 2014 17:11 —กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ

เมื่อปี 2010 สหภาพยุโรป หรือ "อียู" ได้ออก "กลยุทธ์ 2020 หรือ Europe 2020" ซึ่งเป็นการวางกลยุทธ์ด้านการเติบโต หรือ Growth Strategy ในช่วง 1 ทศวรรษ นับตั้งแต่ปี 2010-2020 เพื่อเป็นการวางรากฐานของสมาชิกอียู ไปสู่การเป็นระบบเศรษฐกิจแบบชาญฉลาด ยั่งยืน และรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน "Smart, Sustainable and Inclusive economic system" โดยกำหนดเป้าประสงค์ที่จะต้องบรรลุร่วมกันอย่างทะเยอทะยานภายในปี 2020 อยู่ 5 เรื่อง คือ การจ้างงาน การวิจัยและพัฒนา สภาพภูมิอากาศและพลังงาน การรวมกลุ่มทางสังคม และการลดความยากจน ทั้งนี้ ให้แต่ละประเทศสมาชิกไปกำหนดเป้าหมายในระดับประเทศของตนเอง

การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐจัดได้ว่าเป็นกิจกรรมที่มีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจและสังคมของทุกประเทศรวมทั้งอียู โดยเฉลี่ยแต่ละปีหน่วยงานของรัฐในอียูใช้จ่ายเงินงบประมาณในการจัดซื้อสินค้าและจัดจ้างงานบริการรูปแบบต่างๆ ประมาณ 2 ล้านล้านยูโร หรือเทียบเท่ากับ 19% ของ GDP รวมของอียู ด้วยความสำคัญนี้ ในที่สุดอียูได้ทบทวนและปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐให้มีความทันสมัยและสนับสนุนเป้าประสงค์ตามกลยุทธ์ 2020 ที่วางไว้ โดยเฉพาะ เรื่อง การเติบโตอย่างยั่งยืน และการรวมกลุ่มทางสังคม การสนับสนุนการมีส่วนร่วมของ SMEs และ การส่งเสริมผู้ประกอบการที่มีนวัตกรรมใหม่ ดังนั้น การส่งเสริมการจัดซื้อจัดจ้างสีเขียว(Green Public Procurement : GPP) จึงเป็นแนวทางหนึ่งที่จะสนับสนุนการบรรลุเป้าประสงค์ในเรื่องนี้ของอียู

การจัดซื้อจัดจ้างสีเขียว (GPP) คืออะไร?

ปัจจุบันไม่มีคำนิยามที่ชัดเจนของ GPP แต่หากประมวลจาก Communication 400 ปี 2008 เรื่อง การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น (Public procurement for a better environment) นิยาม GPP ไว้ว่า"กระบวนการที่ผู้เกี่ยวข้องภาครัฐใช้เสาะหาในการจัดซื้อสินค้า จัดจ้างงานบริการ และงานก่อสร้าง ที่จะลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตลอดวัฏจักรชีวิตของสินค้า งานบริการและงานก่อสร้างเหล่านั้น เมื่อเปรียบเทียบกับกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างที่เคยเป็นมา"

ณ ปัจจุบัน GPP เป็นเครื่องมือตามความสมัครใจเท่านั้น จึงขึ้นกับแต่ละประเทศสมาชิกอียูว่าจะปฏิบัติเรื่อง GPP ในระดับใด อย่างไรก็ตาม การสนับสนุนนโยบายการจัดซื้อสีเขียวสามารถมีบทบาททางการตลาดที่สำคัญได้ เช่นกัน รวมทั้งเป็นแรงกระตุ้นให้ภาคอุตสาหกรรมพัฒนาเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้ ต้องไม่ลืมว่า กำลังซื้อของภาครัฐในบางสาขานับว่ามีสัดส่วนในตลาดสูงมาก เช่น การขนส่งสาธารณะ การก่อสร้าง บริการทางการแพทย์ และการศึกษา ดังนั้น การตัดสินใจของหน่วยงานภาครัฐเหล่านั้นจึงส่งผลกระทบค่อนข้างมาก

ประโยชน์ของ GPP

แม้ GPP จะได้ชื่อเรียกว่าเป็นการจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น หน่วยงานภาครัฐของสมาชิกอียูที่ได้ทำการจัดซื้อจัดจ้างแบบ GPP อ้างว่า ประโยชน์ที่ต่อยอดมาจาก GPP ไม่จำกัดอยู่เพียงผลต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่สามารถรวมถึงประโยชน์ทั้งต่อสังคม สุขภาพ ไปจนถึงเศรษฐกิจและการเมืองด้วย ดังเช่น ตัวอย่างที่จะยกขึ้นให้เห็นดังต่อไปนี้

ประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อม

GPP สามารถเป็นเครื่องมือให้หน่วยงานภาครัฐบรรลุเป้าหมายในการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม เช่น

  • ลดการตัดไม้ทำลายป่า (ผ่านการจัดซื้อไม้และผลิตภัณฑ์จากป่าปลูกที่มีการจัดการและเพาะปลูกอย่างถูกกฎหมาย)
  • ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ผ่านการจัดซื้อสินค้าและบริการที่มีการปล่อยปริมาณก๊าซคาร์บอนที่ลดลงตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์)
  • ลดการใช้น้ำ / ใช้ทรัพยากรและพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ (ผ่านการเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีหลักการออกแบบโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม)
  • ลดมลภาวะทางอากาศ น้ำ และพื้นดิน (โดยการควบคุมการใช้สารเคมีและสารพิษ)
  • การกระตุ้นการเกษตรอย่างยั่งยืน (โดยการจัดซื้ออาหารออร์แกนนิค)

นอกจากนั้น การดำเนินนโยบาย GPP ยังสามารถกระตุ้นองค์กรภาคเอกชนให้นำเงื่อนไขด้านสิ่งแวดล้อมมาใช้ในการจัดซื้อจัดจ้างด้วย รวมทั้งยังเป็นการเพิ่มความตระหนักรู้ถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในตัวผลิตภัณฑ์หรืองานบริการตลอดช่วงวัฏจักร เช่น การนำอาหารออร์แกนนิคมาขายในร้านอาหาร เป็นต้น

ประโยชน์ด้านสังคมและสุขภาพ

นโยบาย GPP เป็นการเพิ่มคุณภาพชีวิต และสร้างมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมของสินค้าและบริการในระดับสูง อาทิ การมีรถโดยสารสาธารณะที่สะอาดขึ้นเป็นการลดมลภาวะทางอากาศ หรือ การลดการใช้สารเคมีเป็นพิษในสินค้าประเภทน้ำยาทำความสะอาดทำให้มีสุขลักษณะในการทำงานที่แข็งแรงขึ้น เป็นต้น ซึ่งส่งผลในการนำมาซึ่งคุณภาพงานที่ดีขึ้นสำหรับหน่วยงานภาครัฐและประชาชนในภาพรวม

ประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ

เป็นที่เชื่อว่าระบบ GPP สามารถช่วยประหยัดทั้งเงินและทรัพยากร เพื่อพิจารณาจากต้นทุนของทั้งวงจรชีวิตในการจัดซื้อจัดจ้าง เช่น กินไฟน้อยลง นำกลับไปใช้ใหม่ได้ง่ายขึ้น เป็นต้น ตลอดจนเป็นแรงจูงใจให้ภาคอุตสาหกรรมส่งเสริมนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะเป็นการส่งเสริมสิ่งแวดล้อม รวมทั้งสามารถลดต้นทุนในการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการเพิ่มการแข่งขันในด้านเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อมทำให้ต้นทุนลดลงได้

ประโยชน์ด้านการเมือง

ประชากรของอียูส่วนใหญ่มีทัศนคติในการปกป้องสิ่งแวดล้อมที่ค่อนข้างชัดเจน ดังนั้น การจัดซื้อจัดจ้าง โดยรัฐที่มุ่งเน้นเรื่องสิ่งแวดล้อมจึงได้รับการสนับสนุนจากคนในอียู ซึ่งรายงานของ Eurobarometer เดือนมีนาคม 2008 เรื่อง "Attitudes of European citizens towards the environment" แสดงให้เห็นว่า กว่าร้อยละ 78 ของผู้ตอบแบบสอบถามเห็นด้วยกับถ้อยแถลงว่า "อียูควรใช้เงินงบประมาณในการปกป้องสิ่งแวดล้อมให้มากขึ้น แม้จะส่งผลให้ลดงบประมาณในด้านอื่นๆ ลง" ซึ่งในรายงานยังแสดงว่า ประชาชนอียูให้การสนับสนุนแนวคิดในการจัดซื้อจัดจ้าง"สีเขียว"ของภาครัฐ โดยเฉพาะการจัดซื้อสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้มากขึ้น แม้ว่าราคาจะสูงขึ้นก็ตาม ดังนั้น การใช้นโยบาย GPP ของอียูจึงได้รับการสนับสนุนจากประชาชนอียูในการแสดงข้อผูกพันของหน่วยงานของรัฐในการปกป้องสิ่งแวดล้อมและนำไปสู่การบริโภคและการผลิตอย่างยั่งยืน

อุปสรรคในการปฏิบัติตาม GPP

แม้ว่า คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) จะให้การสนับสนุนการใช้นโยบาย GPP แต่ในทางปฏิบัติกลับพบอุปสรรคที่เป็นความท้าทายต่อการปฏิบัติตามนโยบาย GPP ซึ่งโครงการ RELIEF รวมทั้งการสำรวจความเห็นของคณะกรรมาธิการยุโรปในรายงาน "Green Public Procurement in Europe 2006" พบความท้าทายหลายประการ ดังนี้

  • การขาดแรงสนับสนุนทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสนับสนุนด้านการบริหารจัดการ อันอาจเนื่องมาจาก เจ้าหน้าที่ระดับสูงที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้างทั่วทวีปยุโรปไม่ได้ให้ความสำคัญกับวาระเรื่อง GPP หรือไม่ได้ส่งผ่านความสำคัญมายังเจ้าหน้าที่จัดซื้อจัดจ้างในระดับปฏิบัติ
  • ต้นทุนที่สูงกว่าของสินค้าสีเขียว โดยปกติการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐมักจะตัดสินโดยใช้ราคาเป็นหลักแต่สำหรับสินค้าสีเขียวควรต้องดูต้นทุนทั้งวัฎจักรชีวิตของสินค้าหรือบริการนั้นๆ (Life Cycle Cost : LCC) โดยการใช้หลักเกณฑ์ทางสิ่งแวดล้อมเป็นกลไกในการพิจารณา ซึ่งทำให้ดูประหนึ่งว่า สินค้าที่เข้ากระบวนการจัดซื้อมีราคาสูงกว่าแต่หากพิจารณาทั้งวัฏจักรชีวิตแล้วต้นทุนโดยรวมจะลดต่ำลง เพราะต้นทุนในการดูแลบำรุงรักษาหรือการกำจัดทิ้งจะน้อยกว่า ดังนั้น จึงเป็นความท้าทายอย่างมากในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมแบบเดิมๆของเจ้าหน้าที่จัดซื้อจัดจ้าง
  • การขาดผู้เชี่ยวชาญในการปฏิบัติใช้เงื่อนไขด้านสิ่งแวดล้อม การขาดเครื่องมือและข้อมูลที่เหมาะสมเป็นความจริงที่ว่าเจ้าหน้าที่ภาครัฐที่ต้องเป็นผู้พิจารณาการจัดซื้อจัดจ้างไม่ได้มีความเชี่ยวชาญงานด้านผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและต่อสังคมในการจัดซื้อจัดจ้างสินค้า/บริการครั้งหนึ่งๆ ดังนั้น การตีความคำนิยามว่า อะไรคือสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสังคม/สิ่งแวดล้อม รวมทั้งการกำหนดหลักเกณฑ์ในการประเมินผลการประมูลที่เหมาะสมจึงเป็นเรื่องที่ยากและท้าทายมาก
  • ความต้องการระบบการจัดการที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้แต่ละหน่วยงานสามารถจัดทำกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมและสังคมให้มีความสอดคล้องกัน ไม่ใช่ต่างคนต่างปฏิบัติในรูปแบบของตนเอง
  • การขาดการผึกฝนอบรม โดยเฉพาะให้กับเจ้าหน้าที่ที่ดูแลเรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจต่อประเด็นทางเทคนิคและทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตามกระบวนการ GPP ทั้งต่อแนวคิดเรื่องต้นทุนตามวัฎจักรชีวิตของสินค้า/บริการ รวมทั้งการอบรมให้แก่ผู้บริโภคสินค้าสิ่งแวดล้อมก็มีความสำคัญเช่นกัน
  • การขาดความร่วมมือระหว่างเจ้าหน้าที่ของแต่ละหน่วยงาน โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนแนวทางปฏิบัติที่ดีและการสร้างเครือข่ายระหว่างกัน ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ
  • ข้อจำกัดด้านการกำหนดหลักเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อม หลายๆครั้งในการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการหลายกลุ่ม เจ้าหน้าที่จัดซื้อจัดจ้างไม่ทราบหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนและตรวจสอบยืนยันได้ในการนำประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อมมาพิจารณาในการประมูลจัดซื้อจัดจ้าง
สิ่งจำเป็นในการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างแบบ GPP

ในปัจจุบัน ประเทศสมาชิกอียูส่วนใหญ่ได้มีการวางแผนปฏิบัติการแห่งชาติ (National Action Plan) เรื่อง GPP รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐหลายหน่วยงานก็ได้กำหนดนโยบาย GPP หรืออย่างน้อยมีข้อผูกพันที่จะปฏิบัติตาม GPP แทรกอยู่ในนโยบายอื่นๆ

ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ และเจ้าหน้าที่ของแต่ละหน่วยงาน รวมทั้ง แรงสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูงนับว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดระดับความสำเร็จสำหรับการปฏิบัติตาม GPP ดังนั้น นโยบาย GPP จะมีประสิทธิภาพสูงสุด จำเป็นต้องมีแนวทาง ดังนี้

  • กำหนดเป้าหมาย สาขาสำคัญก่อนหลัง และกำหนดเวลา ที่ชัดเจน
  • กำหนดขอบเขตของกิจกรรมการจัดซื้อจัดจ้างที่ครอบคลุม
  • มอบหมายความรับผิดชอบในการปฏิบัติตามนโยบายในภาพรวม
  • จัดเตรียมระบบการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ กำหนดแนวทางที่เหมาะสมและให้การอบรมที่เข้าถึงได้
  • กำหนดกลไกในการสังเกตติดตามผลการปฏิบัติงาน
หลักเกณฑ์ GPP ของอียู

อียูได้พัฒนาช่องทางให้หน่วยงานของแต่ละประเทศสมาชิกและบุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตามนโยบาย GPP พัฒนาการล่าสุด งานศึกษาวิจัย เอกสารประกอบการอบรม รวมทั้ง หลักเกณฑ์ GPPของอียู และรายงานภูมิหลังทางเทคนิคที่เกี่ยวข้อง โดยสามารถสืบค้นได้จาก EU GPP Website1 สำหรับหลักเกณฑ์ GPP (EU GPP Criteria) ครอบคลุมกลุ่มสินค้าและบริการหลากหลาย โดยนับตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา คณะกรรมาธิการยุโรปได้เห็นชอบ GPP Criteria แล้วกว่า 20 กลุ่มสินค้า/บริการ อาทิ กระดาษถ่ายเอกสารและกราฟฟิก ผลิตภัณฑ์และบริการทำความสะอาด อุปกรณ์ไอทีสำนักงาน การก่อสร้าง การขนส่ง เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า บริการอาหารและการจัดเลี้ยง สิ่งทอ ผลิตภัณฑ์และบริการตกแต่งสวน หน้าต่าง/ประตู ฉนวนความร้อน โทรศัพท์เคลื่อนที่ ไฟส่องทางและไฟสัญญาณจราจร เครื่องหมายจราจรและก่อสร้างถนน เป็นต้น

กลุ่มสินค้า/บริการที่แตกต่างกัน ย่อมมีรูปแบบ GPP ที่ต่างกัน บทความนี้จะขอยกตัวอย่างองค์ประกอบหลักของหลักเกณฑ์ GPP ของอียู ในกลุ่มงานก่อสร้าง สินค้าอุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศในสำนักงาน และสินค้ากระดาษและที่ทำจากไม้ ซึ่งเป็นสินค้าและบริการที่ผู้ประกอบการไทยมีศักยภาพและอาจมีโอกาสไปแข่งขันในประเทศสมาชิกอียูได้บ้าง

งานก่อสร้าง

ตัวอย่างหลักเกณฑ์ GPP สำหรับงานก่อสร้างในอียู ประกอบด้วย

  • เงื่อนไขในการเลือกสถาปนิก และวิศวกร มีประสบการณ์ด้านการออกแบบอาคารแบบบยั่งยืน
  • เงื่อนไขในการเลือกคู่สัญญา มีประสบการณ์ด้านการจัดการเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมในไซด์งานที่เหมาะสม
  • กำหนดมาตรฐานการใช้พลังงานขั้นต่ำ โดยอาจให้คะแนนเพิ่มขึ้นหากมีประสิทธิภาพการใช้พลังงานที่ดีกว่า
  • ให้การพิจารณาเป็นพิเศษสำหรับงานออกแบบที่ใช้ระบบพลังงานทดแทน
  • จำกัดการใช้สารอันตรายในวัสดุก่อสร้าง และส่งเสริมการใช้ไม้ที่ไม่ผิดกฎหมายและวัสดุรีไซเคิล
  • สัญญามีข้อความระบุเรื่องการจัดการขยะ ทรัพยากร รวมทั้งการขนส่งอุปกรณ์ก่อสร้างไปยังสถานที่ก่อสร้างเพื่อเป็นการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด

อุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศในสำนักงาน

หน่วยงานภาครัฐนับว่าเป็นผู้บริโภคสินค้า IT และอุปกรณ์สำนักงานรายใหญ่ และสามารถจัดการเพื่อให้เกิดการประหยัดและส่งเสริมตลาดให้มีมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมที่สูงขึ้นได้มาก

  • ข้อเรียกร้องด้านการจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพทั้งในโหมดการใช้งาน การพัก และการปิดเครื่อง โดยหน่วยงานส่วนกลางต้องระบุเงื่อนไขด้าน energy efficiency ล่าสุดตามที่กำหนดในระเบียบขั้นต่ำของอียู (the EU Energy Star) และอาจพิจารณาให้ในกรณีที่สามารถดำเนินการได้ดีกว่าที่กำหนดในระเบียบขั้นต่ำ
  • การออกแบบที่สามารถใช้งานได้ทนทาน และเอื้ออำนวยต่อการอัพเกรดหรือการเปลี่ยนถ่ายชิ้นส่วน
  • ข้อจำกัดต่อการใช้สารอันตรายต่อสุขภาพคนหรือสิ่งแวดล้อม
  • ข้อจำกัดต่อมลภาวะทางเสียง เป็นต้น

สินค้ากระดาษและที่ทำจากไม้

อุตสาหกรรมการผลิตกระดาษและผลิตภัณฑ์จากไม้สามารถสร้างความสูญเสียในการตัดไม้ทำลายป่าความหลายหลายทางชีวภาพ การใช้ทรัพยากรน้ำและพลังงาน ตลอดจนเกิดมลพิษทางเคมี

  • เป็นกระดาษที่ผลิตจากเยื่อกระดาษที่นำกลับมาใช้อีก และ/หรือ เยื่อกระดาษบริสุทธิ์ที่ผลิตจากป่าปลูกที่มีการจัดการอย่างยั่งยืน
  • เป็นกระดาษที่ปราศจากคลอรีน หรือมีองค์ประกอบของคลอรีน
  • มีข้อมูลที่สืบค้นได้เพื่อยืนยันแหล่งที่มาของไม้ที่ถูกกฎหมาย โดยอาจยืนยันโดยใช้ใบรับรองจากบุคคลที่สาม หรือ ใบอนุญาตที่ได้รับภายใต้โครงการ FLEGT (เป็นไปตาม EU Timber Regulation No.995/2010)
  • สำหรับเฟอร์นิเจอร์ ต้องมีสัญลักษณ์ตามหลักการ eco-de-sign เพื่อรับรองการนำกลับมาใช้ใหม่ได้
บทสรุป

เรื่องการจัดซื้อจัดจ้างสีเขียวเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่อียูให้ความสำคัญอย่างมาก นับตั้งแต่ปี 2008 จนถึงปัจจุบัน คณะกรรมาธิการยุโรปได้ออกหลักเกณฑ์ GPP มาแล้วกว่า 20 กลุ่มสินค้า/บริการ และยังคงเดินหน้าจัดทำหลักเกณฑ์ GPP ในการจัดซื้อจัดจ้างกลุ่มสินค้า/บริการอื่นๆ ต่อไป โดยจัดทำเป็นส่วนหนึ่งของแผนปฏิบัติการแห่งชาติ (National Action Plan) แม้ว่าแผนปฏิบัติการฯ ดังกล่าวจะไม่มีผลผูกพันหรือบังคับในเชิงกฎหมายก็ตาม แต่โดยนัยทางการเมืองและสังคมแล้ว มีการผลักดันเพื่อนำไปสู่กระบวนการปฏิบัติและการเพิ่มความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการจัดซื้อจัดจ้างสีเขียวมากขึ้นตามลำดับ ไม่บังคับแต่ก็มีช่องทางให้แต่ละประเทศสมาชิกเลือกแนวทางที่เหมาะสมกับกรอบทางการเมืองของตนตามระดับที่เหมาะสม

อย่างไรก็ตาม เรื่องการจัดซื้อจัดจ้างสีเขียว ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับไทย เนื่องจากประเทศไทยก็ให้ความสำคัญกับแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) โดยกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักของไทยในการจัดทำแผนการส่งเสริมการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของภาครัฐปี พ.ศ. 2556-2559 โดยจะเน้นในภาครัฐก่อน และในขณะเดียวกันก็จะขยายไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ มหาวิทยาลัย หน่วยงานในกำกับของรัฐ และองค์กรมหาชน ซึ่งไทยก็มีความร่วมมือกับอียูในเรื่องนี้เช่นกัน โดยอียูได้ให้ความช่วยเหลือทางทุนทรัพย์ภายใต้โครงการการส่งเสริมการผลิตและการบริโภคอย่างยั่งยืน ด้านนโยบายสนับสนุน (Sustainable Consumption and Production Project : Policy SupportComponent) ของกรมควบคุมมลพิษ กรมทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในการจัดทำคู่มือการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2557 ที่ครอบคลุมด้านวิธีการจัดซื้อจัดจ้าง เกณฑ์การจัดซื้ดจัดจ้างและรายการสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เลขที่ 44/100 ถ.นนทบุรี1 ต. บางกระสอ อ. เมือง จ. นนทบุรี 11000

โทรศัพท์ (66) 2507-7444 แฟกซ์ (66) 2547-5630


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ