ตีวัวกระทบช็อกโกแลต: กรณีพิพาท US – COOL

ข่าวเศรษฐกิจ Monday July 27, 2015 13:53 —กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ

กำแพงภาษีศุลกากรที่ลดต่ำลงอันเนื่องมาจากการทำความตกลงเพื่อจัดตั้งเขตการค้าเสรี หรือ FTAs (Free Trade Agreements) ของประเทศต่าง ๆ ส่งผลให้การเก็บภาษีนำเข้าไม่ใช่มาตรการที่สามารถปกป้องสินค้าหรืออุตสาหกรรมภายในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกต่อไป มาตรการที่มิใช่ภาษี (Non-Tariff Measures) จึงเริ่มถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายและมีขอบเขตกว้างมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยในบางครั้ง การใช้มาตรการที่ดูเหมือนจะมีวัตถุประสงค์อันชอบธรรมหรือเพื่อประโยชน์สาธารณะ ก็อาจแอบแฝงไปด้วยเจตนาที่ต้องการกีดกันสินค้านำเข้าเพื่อให้แต้มต่อกับสินค้าที่ผลิตในประเทศ และนำไปสู่การละเมิดกฎเกณฑ์ภายใต้กรอบองค์การการค้าโลก (WTO) ซึ่งเป็นกฎพื้นฐานสำคัญในเวทีการค้าระหว่างประเทศที่มีผลใช้บังคับกับสมาชิก WTO ทั่วโลก 161 ราย รวมถึงประเทศไทย

กรณีพิพาท United States - Certain Country of Origin Labelling (COOL) Requirements1ซึ่งแคนาดาและเม็กซิโกยื่นฟ้องสหรัฐอเมริกาภายใต้กระบวนการระงับข้อพิพาทของ WTO เป็นกรณีพิพาทตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า มาตรการที่พบเห็นโดยทั่วไปในชีวิตประจำวัน ดังเช่นการติดฉลากสินค้าอาหารสามารถถูกนำไปใช้ในลักษณะที่เป็นการกีดกันทางการค้าและขัดกับกฎเกณฑ์ WTO ได้อย่างไร และผลที่ตามมาของการ "ละเมิด" กฎเกณฑ์ดังกล่าวนั้น ทำให้ประเทศที่ได้รับความเสียหายสามารถใช้สิทธิ "ตอบโต้" ประเทศที่เป็นฝ่ายผิดได้อย่างไรบ้างภายใต้กฎกติกาของ WTO

ฉลาก COOL ที่อาจไม่ cool

เมื่อปี 2008 สหรัฐฯ เริ่มบังคับใช้มาตรการที่กำหนดให้ผู้ค้าปลีก(Retailer) ต้องแจ้งให้ผู้บริโภคทราบถึงข้อมูลเกี่ยวกับที่มาของสินค้าอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ประมง สินค้าเกษตรเน่าเสียง่าย และถั่วลิสง ที่วางจำหน่ายในสหรัฐฯ ผ่านการติดฉลากบนห่อบรรจุภัณฑ์ ซึ่งมาตรการที่บังคับให้ติดฉลากระบุแหล่งกำเนิดสินค้า หรือ ฉลาก COOL ได้ส่งผลกระทบต่อแคนาดาและเม็กซิโก และทำให้ปริมาณการส่งออกโคเนื้อและสุกรของสองประเทศไปยังสหรัฐฯ ลดลงอย่างมากจนลุกลามกลายเป็นกรณีพิพาทระหว่างประเทศและนำไปสู่การยื่นฟ้องต่อองค์กรระงับข้อพิพาทของ WTO เพื่อเรียกร้องให้สหรัฐฯ ยกเลิกมาตรการดังกล่าว

คำตัดสินขององค์กรระงับข้อพิพาท WTO

เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2011 คณะผู้พิจารณา (Panel) ซึ่งเปรียบเสมือนศาลชั้นต้นของ WTO ได้พิจารณากรณีพิพาทดังกล่าวและมีคำวินิจฉัยว่า ฉลาก COOL ของสหรัฐฯ เข้าข่ายเป็นกฎระเบียบทางเทคนิค (Technical Regulation) หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า มาตรการ TBT (Technical Barriers to Trade) และการบังคับใช้มาตรการดังกล่าวของสหรัฐฯ ก็ขัดกับพันธกรณีภายใต้ความตกลง TBT2 ของ WTO ที่กำหนดให้ประเทศสมาชิกต้องไม่ปฏิบัติต่อสินค้านำเข้าด้อยกว่าสินค้าที่ผลิตในประเทศ อย่างไรก็ดี สหรัฐฯ ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของคณะผู้พิจารณาและได้ยื่นอุทธรณ์ต่อ WTO

ต่อมา เมื่อเดือนมิถุนายน 2012 องค์กรอุทธรณ์ (Appellate Body) มีคำตัดสินยืนยันว่า สหรัฐฯละเมิดพันธกรณีการไม่เลือกปฏิบัติระหว่างสินค้าปศุสัตว์ในประเทศกับสินค้าปศุสัตว์ที่นำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโก โดยมาตรการฉลาก COOL สร้างแรงจูงใจให้ผู้ค้าในสหรัฐฯ หันมาจำหน่ายเนื้อที่เป็นผลผลิตจากโคหรือสุกรในสหรัฐฯ เพื่อลดความยุ่งยากและค่าใช้จ่ายในการติดตามแหล่งที่มาของเนื้อที่เป็นผลผลิตจากสัตว์ที่เกิดและ/หรือเลี้ยงในต่างประเทศ ซึ่งคำตัดสินดังกล่าวก็ส่งผลให้สหรัฐฯ ต้องปรับแก้มาตรการฉลาก COOL ให้สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ WTO ภายในระยะเวลาที่เหมาะสม (Reasonable Period of Time) ซึ่งถูกกำหนดไว้ว่าคือวันที่ 23 พฤษภาคม 2013

Compliance Proceedings

เมื่อ WTO มีคำตัดสินว่ามาตรการฉลาก COOL ขัดกับความตกลง TBT เรื่องการห้ามเลือกปฏิบัติระหว่างสินค้านำเข้าและสินค้าในประเทศ สหรัฐฯ ก็ได้พยายามปรับแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับมาตรการฉลาก COOL โดยเพิ่มข้อมูลของฉลากบนห่อบรรจุภัณฑ์ให้มีรายละเอียดครอบคลุมแหล่งที่มาของสัตว์ที่ใช้ผลิตเนื้อเพื่อการบริโภค ทั้งสถานที่เกิด สถานที่เลี้ยงดู และสถานที่ผลิต เพื่อให้ผู้ค้าปลีกสามารถติดตามแหล่งกำเนิดอย่างเป็นระบบ และช่วยให้ผู้บริโภคได้รับข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนมากขึ้น อย่างไรก็ดี ภายหลังสิ้นสุดกำหนดเวลาที่สหรัฐฯ ต้องปฏิบัติตามคำตัดสิน แคนาดาและเม็กซิโกเห็นว่ามาตรการฉลาก COOL ของสหรัฐฯ ฉบับปรับปรุง (Measures taken to comply) ยังคงมีเนื้อหาไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ WTO ทั้งสองประเทศจึงได้ยื่นฟ้อง WTO อีกครั้ง เพื่อตัดสินว่าสหรัฐฯ ได้ปรับแก้มาตรการตามคำตัดสินขององค์กรระงับข้อพิพาท WTO แล้วจริงหรือไม่

ดังนั้น คณะผู้พิจารณาของ WTO (Compliance Panel) จึงถูกตั้งขึ้นอีกครั้งเพื่อพิจารณาการปรับแก้มาตรการของสหรัฐฯ และมีคำตัดสินเมื่อเดือนตุลาคม 2014 ว่า ฉลาก COOL ฉบับปรับปรุง ยังคงไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ WTO และยิ่งไปกว่านั้น การปรับแก้มาตรการของสหรัฐฯ กลับก่อให้เกิดผลกระทบเชิงลบกับสินค้านำเข้ามากยิ่งขึ้น โดยฉลาก COOL ทำให้ผู้ค้าปลีกต้องแบกภาระการติดตามที่มาของเนื้อสัตว์ตลอดห่วงโซ่การผลิต ทั้งสถานที่เกิด สถานที่เลี้ยงดู และสถานที่ผลิต และส่งผลให้ผู้ค้าในสหรัฐฯ นิยมใช้โคเนื้อและสุกรภายในประเทศเพื่อผลิตเนื้อจำหน่ายให้กับผู้บริโภคแทนการนำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโก ผลของการบังคับใช้มาตรการดังกล่าวจึงกระทบต่อการแข่งขันระหว่างสินค้าของสหรัฐฯ กับสินค้านำเข้าและเข้าข่ายเป็นการเลือกปฏิบัติซึ่งคณะผู้พิจารณาเห็นว่ามาตรการฉลาก COOL ฉบับปรับปรุง ไม่เพียงแต่จะขัดกับความตกลง TBT เท่านั้น แต่ยังขัดกับหลักการไม่เลือกปฏิบัติภายใต้ความตกลง GATT อีกด้วย

ต่อมา ในเดือนพฤษภาคม 2015 องค์กรอุทธรณ์พิจารณาคำขออุทธรณ์ของสหรัฐฯ และมีคำตัดสินยืนยันความเห็นตามคณะผู้พิจารณาว่า ฉลาก COOL ฉบับปรับปรุง ยังคงขัดกับหลักการไม่เลือกปฏิบัติภายใต้ WTO และส่งผลกระทบต่อแคนาดาและเม็กซิโกซึ่งเป็นประเทศที่ส่งออกโคเนื้อและสุกรไปยังสหรัฐฯ

มาตรการเยียวยาประเทศที่ได้รับความเสียหาย

ตามกระบวนการระงับข้อพิพาทของ WTO นั้น หลังจากที่องค์กรอุทธรณ์มีคำตัดสินชี้ขาดว่าการปรับแก้มาตรการของสหรัฐฯ ยังคงไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องภายใต้ WTO แคนาดาและเม็กซิโกซึ่งเป็นฝ่ายที่ได้รับความเสียหายจากมาตรการดังกล่าวก็สามารถขอใช้สิทธิตอบโต้ทางการค้ากับสหรัฐฯ ได้ ซึ่งอาจดำเนินการโดยการขึ้นภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บกับสินค้าที่ตนนำเข้าจากสหรัฐฯ ประเด็นที่น่าสนใจคือ สินค้าที่จะถูกตอบโต้ทางการค้าหรือขึ้นภาษีนำเข้านั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นสินค้าชนิดเดียวกับที่แคนาดาและเม็กซิโกได้รับความเสียหายอันเนื่องมาจากมาตรการฉลาก COOL ซึ่งก็คือโคเนื้อและสุกร แต่สามารถเป็นสินค้าชนิดใดก็ได้ที่ประเทศผู้ฟ้องเคยให้สิทธิพิเศษทางภาษีกับสหรัฐฯ ภายใต้กรอบ WTO โดยในเบื้องต้นแคนาดาได้จัดทำรายการสินค้าของสหรัฐฯ ที่อยู่ในการพิจารณาจะใช้สิทธิตอบโต้ ซึ่งครอบคลุมถึงสินค้าที่อาจไม่มีความเกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์โคเนื้อและสุกรแต่อย่างใด อาทิ ช็อกโกแลต ไวน์ ผลไม้ เฟอร์นิเจอร์ ที่นอน เป็นต้น

WTO กำหนดให้การใช้สิทธิตอบโต้ทางการค้าต้องมีมูลค่าไม่เกินความเสียหายที่ประเทศผู้ฟ้องได้รับในการนี้ แคนาดาอ้างว่าประเทศของตนได้รับความเสียหายจากมาตรการฉลาก COOL ของสหรัฐฯ คิดเป็นมูลค่า 3.068 พันล้านดอลลาร์แคนาดาต่อปี5 ในขณะที่เม็กซิโกอ้างว่าตัวเลขความเสียหายของตนอยู่ที่ 713 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี6 ล่าสุด สหรัฐฯ ได้โต้แย้งมูลค่าความเสียหายที่ทั้งสองประเทศกล่าวอ้างและขอเข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการ (Arbitration) ของ WTO เพื่อตัดสินตัวเลขความเสียหายที่แท้จริงของแคนาดาและเม็กซิโกแม้ในชั้นนี้ผลคำตัดสินของอนุญาโตตุลาการจะยังไม่ชัดเจนว่าท้ายที่สุดแคนาดาและเม็กซิโกจะสามารถตอบโต้ทางการค้ากับสหรัฐฯ ได้เป็นมูลค่าเท่าใด แต่มีความเป็นไปได้ว่าฝ่ายที่จะได้รับผลกระทบจากการแพ้คดีของสหรัฐฯ เพราะละเมิดพันธกรณี WTO กลับอาจเป็นผู้ที่ชื่นชอบช็อกโกแลตและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโคเนื้อหรือสุกรเลยก็เป็นได้ !!!

ขอบคุณรูปภาพจาก http://www.worc.org/country-of-origin-labeling

น.ส. กมลทิพย์ พสุนธรากาญจน์

กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ

23 กรกฎาคม 2558

กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เลขที่ 44/100 ถ.นนทบุรี1 ต. บางกระสอ อ. เมือง จ. นนทบุรี 11000

โทรศัพท์ (66) 2507-7444 แฟกซ์ (66) 2547-5630


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ