ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดประชุมอาร์เซ็ป ครั้งที่ 23 เปิดเวทีรับฟังเน้นการมีส่วนร่วมทุกภาคส่วน ตั้งเป้าเจรจาจบ 3 เรื่องสำคัญตามแผน เร่งผลักดันหวังให้จบการเจรจาภายในปีนี้ ด้านรัฐบาลไทยเน้นย้ำให้อาร์เซ็ปเป็นเครื่องมือขยายการค้าลงทุนในภูมิภาค และรับมือประเทศมหาอำนาจในสงครามการค้าที่นับวันทวีคูณขึ้น
นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ รองอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ได้รับมอบหมายจากอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ให้เข้าร่วมเป็นหัวหน้าคณะเจรจาในการประชุมคณะกรรมการเจรจาจัดทำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค หรือ อาร์เซ็ป ครั้งที่ 23 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพจัดประชุม ระหว่างวันที่ 17 - 27 กรกฎาคม 2561 ณ กรุงเทพฯ โดยจะมีการหารือในระดับคณะทำงานหรือคณะทำงานกลุ่มย่อยอีก 14 คณะไปพร้อมกันด้วย ซึ่งคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมประมาณ 800 คน จากประเทศสมาชิกทั้งหมด 16 ประเทศ ได้แก่ อาเซียน 10 ประเทศ ออสเตรเลีย จีน ญี่ปุ่น อินเดีย เกาหลีใต้ และนิวซีแลนด์
นายรณรงค์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ได้มีการประชุมรัฐมนตรีอาร์เซ็ป สมัยพิเศษ ครั้งที่ 5 ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งรัฐมนตรีจาก 16 ประเทศ เห็นตรงกันที่จะให้เร่งนร่ว็นสรุปผลการเจรจาจัดทำความตกลงอาร์เซ็ปให้เสร็จภายในปีนี้โดยตั้งเป้าว่าในการประชุมรอบกรุงเทพฯ คณะเจรจาจะต้องสรุปและปิดการเจรจาใน 3 เรื่องสำคัญ คือ พิธีการศุลกากร มาตรฐานสุขอนามัยพืช และกฎระเบียบทางเทคนิค นอกจากนี้ คณะกรรมการเจรจาจะต้องเร่งสรุปประเด็นที่ยังตกลงกันไม่ได้ เพื่อนำเสนอให้รัฐมนตรีพิจารณาให้ได้ข้อยุติในการประชุมรัฐมนตรีอาร์เซ็ป ครั้งที่ 6 ในปลายเดือนสิงหาคม 2561 ณ ประเทศสิงคโปร์ ก่อนที่จะรายงานผลต่อผู้นำในการประชุมสุดยอดอาเซียนในเดือนพฤศจิกายน 2561
นายรณรงค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับ 3 เรื่องสำคัญข้างต้นที่จะต้องสรุปการเจรจายังมีหลายประเด็นที่ติดปัญหาอยู่ เช่น ประเด็นการตรวจปล่อยสินค้าและคำวินิจฉัยล่วงหน้าในเรื่องพิธีการศุลกากร ประเด็นการใช้มาตรการฉุกเฉินและการจัดทำเอกสารเป็นภาษาอังกฤษในเรื่องมาตรฐานสุขอนามัยพืช ประเด็นกระบวนการตรวจสอบรับรองและความโปร่งใสในเรื่องกฎระเบียบทางเทคนิค เป็นต้น ซึ่งจะต้องมีการหารืออย่างเข้มข้นเพื่อปิดการเจรจาให้ได้ในรอบกรุงเทพ นอกจากนี้ ทุกประเทศจะต้องยื่นปรับปรุงข้อเสนอเปิดตลาดสินค้า บริการ และการลงทุน ให้ดีขึ้น โดยจะต้องเป็นข้อเสนอเปิดตลาดที่ตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของสมาชิกให้มากที่สุด รวมไปถึงเรื่องอื่นๆ ที่เหลือ เช่น พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ การเยียวยาทางการค้า การเงิน โทรคมนาคม ที่จะต้องให้การเจรจามีความคืบหน้ามากที่สุดด้วย ทั้งนี้ รัฐบาลไทยมีนโยบายชัดเจนที่ต้องการให้ความตกลงอาร์เซ็ปเป็นเครื่องมือขยายการค้าในภูมิภาค ซึ่งจะช่วยให้มีการไหลเวียนทางการค้าระหว่างประเทศสมาชิกและสร้างพลังที่จะต่อสู้กับประเทศมหาอำนาจในสงครามทางการค้าที่นับวันจะทวีคูณขึ้น รัฐบาลชุดนี้ยังได้เน้นย้ำถึงการใช้ประโยชน์อย่างเร่งด่วนทั้งในเรื่องการส่งออกสินค้าและภาคธุรกิจบริการ รวมถึงการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ดังนั้น การประชุมอาร์เซ็ปที่ไทยเป็นเจ้าภาพครั้งนี้ ไทยจะร่วมผลักดันให้สรุปการเจรจาได้มากที่สุดเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามนโยบายของรัฐบาล
การประชุมในครั้งนี้ จะมีวาระพิเศษเปิดให้ผู้แทนทั้งจากภาคเอกชนและภาคประชาสังคม (NGOs) ของหลายประเทศจากหลายสาขา อาทิ สาขาสุขภาพ สาขาเกษตร สิทธิสตรี และพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ สามารถเข้ามาแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะในที่ประชุมฯ ซึ่งจะมีหัวหน้าคณะเจรจาจาก 16 ประเทศสมาชิกอาร์เซ็ปเข้าร่วมรับฟัง ตลอดจนแลกเปลี่ยนข้อสนทนาระหว่างกัน ในส่วนของประเทศไทยให้ความสำคัญกับการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะและสังคมอย่างโปร่งใสมาตลอด จึงเป็นโอกาสอันดีที่จะมีผู้เข้าร่วมทั้งจากภาคธุรกิจและ NGOs จำนวนมากมาร่วมกันให้ข้อคิดเห็นเพื่อผลักดันการเจรจาในทุกมิติ ซึ่งสะท้อนความเห็นจากทุกภาคส่วน
นายรณรงค์ กล่าวทิ้งท้ายว่า การประชุมครั้งนี้ ไทยหวังว่าจะสามารถคลี่คลายประเด็นที่เป็นปัญหาต่างๆ ได้และเร่งผลักดันให้การเจรจาจบภายในปีนี้ ทั้งนี้ ไทยเล็งเห็นว่า การสรุปผลการเจรจาอาร์เซ็ปเพื่อให้ความตกลงมีผลบังคับใช้โดยเร็ว จะช่วยขยายการค้าการลงทุนของไทย และผู้ประกอบการจะสามารถใช้สิทธิประโยชน์ในการเข้าถึงตลาดสำคัญที่เป็นสมาชิกอาร์เซ็ปได้อย่างเท่าทันสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศในปัจจุบันได้อีกด้วย
กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
กระทรวงพาณิชย์
20 กรกฎาคม 2561
ที่มา: กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ