กรมเจรจาฯ จัดบูธแคมป์เสริมแกร่ง SME เตรียมเฟ้นหาสุดยอด 5 ทีม ลัดฟ้าหาประสบการณ์ตรงที่จีน

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday May 8, 2019 14:42 —กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ

กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ติดอาวุธผู้ประกอบการ SME ที่ผ่านการคัดเลือกจากโครงการประกวดแผนธุรกิจปี 2562 (DTN Business Plan Award 2019) จำนวน 15 ทีม เข้าอบรมบูธแคมป์“เทคนิคการรุกตลาดจีนให้รวยด้วยเอฟทีเอ” ที่จังหวัดปราจีนบุรีเมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา และเตรียมจัดประกวด pitching นำเสนอแผนธุรกิจ ในวันที่ 13 พฤษภาคมนี้ เพื่อคัดเลือกผู้ชนะ 5 ทีมไปเยี่ยมชมงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มระหว่างประเทศณ นครเซี่ยงไฮ้

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศได้คัดเลือก SME 15 ทีม จากผู้สมัครเข้าร่วมโครงการประกวดแผนธุรกิจปี 2562 (DTN Business Plan Award 2019) จำนวนทั้งสิ้น 131 ทีมเพื่อเข้าอบรมบูธแคมป์ “เทคนิคการรุกตลาดจีนให้รวยด้วยเอฟทีเอ”ระหว่างวันที่ 25 -27 เมษายนที่ผ่านมา ณ จังหวัดปราจีนบุรี โดยได้เชิญวิทยากรที่มีความเชี่ยวชาญ มาให้ความรู้ในด้านต่างๆ เช่น การวางแผนกลยุทธ์การตลาดในจีน พฤติกรรมผู้บริโภคในตลาดจีน การตลาดดิจิทัลในจีน และเทคนิคการนำเสนอแผนธุรกิจในการส่งสินค้าไปขายที่จีน เป็นต้น และในวันที่ 13 พฤษภาคม 2562 กรมฯ จะจัดประกวด pitching นำเสนอแผนธุรกิจ ของ SME ทั้ง 15 ทีม เพื่อคัดเลือกผู้ชนะ 5 ทีม ไปเยี่ยมชมงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มระหว่างประเทศ (China Shanghai International Catering Food & Beverage Exhibition) ในช่วงเดือนมิถุนายน 2562 ณ นครเซี่ยงไฮ้ เพื่อให้ SME ไทยได้ประสบการณ์ตรงในการจับคู่ธุรกิจกับจีน

นางอรมน กล่าวว่า นับตั้งแต่ความตกลงเอฟทีเออาเซียน-จีน มีผลใช้บังคับเมื่อปี 2548 ไทยและจีนได้ทยอยลดเลิกภาษีศุลกากรระหว่างกันมาเป็นลำดับ เริ่มจากยกเลิกภาษีศุลกากรที่เก็บกับสินค้าผักและผลไม้นำเข้า เมื่อต้นปี 2549 ล่าสุดเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2561 ได้ลดภาษีศุลกากรสินค้าล๊อตสุดท้ายให้เหลือร้อยละ 0-5 อาทิ สับปะรดแปรรูป โพลิเอสเตอร์ แป้งข้าวเจ้า ปลายข้าว เคมีภัณฑ์ ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ยานยนต์ ซึ่งพบว่าการค้าระหว่างไทยกับจีนมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2561 มีมูลค่า 80,136 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 294.3 จากปี 2548 ที่เอฟทีเอเริ่มใช้บังคับ และขยายตัวร้อยละ 8.7 จากปี 2560 โดยเป็นการส่งออกจากไทยไปจีน 30,175.4 ล้านเหรียญสหรัฐ และการนำเข้าจากจีน 49,961 ล้านเหรียญสหรัฐ

“จากวิกฤติการค้าโลกที่เกิดขึ้น กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศจึงให้ความสำคัญกับการใช้ประโยชน์จากเอฟทีเออาเซียน-จีน โดยเน้นให้ผู้ประกอบการไทยพัฒนาคุณภาพสินค้าและสร้างความแตกต่าง เพื่อขยายสู่เมืองใหม่ๆ ของจีน โดยเฉพาะมณฑลทางฝั่งตะวันตก เช่น ซินเจียง กานซู หนิงเซียะ ฉงชิ่ง และมณฑลเมืองรองที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูง เช่น เหอเป่ย เหอหนาน หูเป่ย รวมถึงร้านออนไลน์ที่มีชื่อเสียงของจีน เป็นต้น” นางอรมน กล่าว

นางอรมน เสริมว่า ในการประชุมเวทีข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง ที่จีนจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24-27 เมษายนที่ผ่านมา ประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ของจีน ได้แสดงความพร้อมที่จะเปิดตลาดลดภาษีศุลกากรและเพิ่มการนำเข้าสินค้าที่มีคุณภาพจากต่างประเทศ จึงเป็นโอกาสดีที่ไทยจะขยายการส่งออกสินค้าและบริการสู่ตลาดจีน ซึ่งผู้ประกอบการไทยจะต้องมีความพร้อมและเรียนรู้การวางแผนทำธุรกิจ การพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานของสินค้า เพื่อส่งออกไปจีน โดยเฉพาะสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปควรให้ความสำคัญกับการผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐานทั้ง GAP และ GMP รวมทั้งต้องประชาสัมพันธ์และสร้างเครือข่ายให้ผู้บริโภคจีนรู้จักสินค้าไทยมากขึ้น

ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมชมการประกวด pitching นำเสนอแผนธุรกิจ สามารถลงทะเบียนได้ที่ Facebook : DTN Business Plan Award 2019 หรือ Scan QR code

กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ

กระทรวงพาณิชย์

1 พฤษภาคม 2562

ที่มา: กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ