‘พาณิชย์’เผยหลังรับฟังความเห็นจากภาครัฐ เอกชน เกษตรกร และภาคประชาสังคม ในการจัดทำกรอบเจรจา FTA ไทย-อียูและกรอบเจรจาเพื่อเข้าร่วมเป็นสมาชิกความตกลง CPTPP ส่วนใหญ่ชี้ควรสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ มีการพัฒนาที่ยั่งยืน ไม่ส่งผลกระทบหลักประกันสุขภาพของประชาชน และให้รัฐมีอิสระในการกำหนดนโยบายเพื่อประโยชน์สาธารณะ พร้อมเตรียมชง กนศ. พิจารณาภายในเดือนธันวาคมนี้
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมรับฟังความเห็นเรื่องการจัดทำกรอบเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-สหภาพยุโรป (อียู) และกรอบเจรจาเพื่อเข้าร่วมเป็นสมาชิกความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) ของไทย เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2562 ว่าการประชุมครั้งนี้มีผู้แทนจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน กลุ่มเกษตรกร และภาคประชาสังคม เข้าร่วมกว่า 200 คน โดยกรมฯ ได้นำเสนอหัวข้อการเจรจาที่คาดว่าจะปรากฏในการทำเอฟทีเอกับอียู และที่ปรากฏอยู่แล้วในความตกลง CPTPP เช่น เรื่องการค้าสินค้า การค้าบริการ การลงทุน พิธีการศุลกากรและการอำนวยความสะดวกทางการค้า กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า มาตรการเยียวยาทางการค้า มาตรการปกป้อง มาตรการสุขอนามัย อุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า การระงับข้อพิพาท ทรัพย์สินทางปัญญา การแข่งขัน พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ รัฐวิสาหกิจ ความโปร่งใส การค้าและการพัฒนาที่ยั่งยืน และความร่วมมือ เป็นต้น ซึ่งผู้เข้าร่วมประชุมฯ ได้แสดงความเห็น และข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ เช่น เห็นว่ากรอบเจรจาที่จะจัดทำควรสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ และนโยบายการพัฒนาประเทศของไทย ควรให้ความสำคัญกับการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ตลอดจนไม่ส่งผลกระทบหลักประกันสุขภาพของประชาชน รวมทั้งควรให้รัฐยังคงมีอิสระในการกำหนดนโยบายเพื่อประโยชน์สาธารณะ เป็นต้น
นางอรมน เสริมว่า หลังจากนี้ กรมฯ จะนำความเห็นที่ได้ไปประมวลรวมกับผลการศึกษาเรื่องประโยชน์และผลกระทบของการฟื้นการเจรจาเอฟทีเอไทย-อียู และผลการวิจัยเรื่องการเข้าร่วมความตกลง CPTPP ของไทย ตลอดจนผลการรับฟังความเห็นผู้มีส่วนได้เสียทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เพื่อจัดทำข้อมูล และยกร่างกรอบเจรจา เสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) และคณะรัฐมนตรี พิจารณาตัดสินใจการฟื้นการเจรจา เอฟทีเอไทย-อียู และการเข้าร่วมความตกลง CPTPP ของไทยต่อไป ซึ่งคาดว่า จะดำเนินการแล้วเสร็จ พร้อมเสนอต่อ กนศ. ภายในเดือนธันวาคมนี้
ทั้งนี้ อียูเป็นตลาดที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก มี GDP กว่า 18.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ประชากรรวมกันกว่า 513 ล้านคน มีความก้าวหน้าทางนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เกื้อหนุนเชิงยุทธศาสตร์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของไทยในหลากหลายด้าน ทั้งยังเป็นคู่ค้าสำคัญอันดับ 4 ของไทย โดยในปี 2561 ไทยและอียูมีมูลค่าการค้าระหว่างกัน 47,341.5 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 9.4 ของการค้ารวมของไทย โดยไทยส่งออก 25,068.5 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ รถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ และไทยนำเข้า 22,273.1 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้านำเข้าสำคัญ ได้แก่ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องบิน เครื่องร่อน อุปกรณ์การบิน เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม สำหรับในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2562 (ม.ค.–ต.ค.) ไทยและอียูมีมูลค่าการค้าระหว่างกัน 37,379.8 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยไทยส่งออก 19,918.4 ล้านเหรียญสหรัฐ และไทยนำเข้า 17,461.4 ล้านเหรียญสหรัฐ
สำหรับ CPTPP ถือเป็นความตกลงการค้าเสรีที่ครอบคลุมกว้าง ทั้งเรื่องการเปิดตลาดการค้าสินค้า การค้าบริการ การลงทุน การเคลื่อนย้ายนักธุรกิจชั่วคราว พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ทรัพย์สินทางปัญญา นโยบายการแข่งขัน รัฐวิสาหกิจ การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ แรงงาน และสิ่งแวดล้อม มีสมาชิก 11 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย แคนาดา นิวซีแลนด์ ชิลี เปรู เม็กซิโก ญี่ปุ่น บรูไน มาเลเซีย สิงคโปร์ และเวียดนาม ประชากรรวมอยู่ที่ประมาณ 500 ล้านคน หรือร้อยละ 6.7 ของประชากรโลก โดยในปี 2561 ไทยมีมูลค่าการค้ากับสมาชิก CPTPP 11 ประเทศ เป็นมูลค่ารวม 148,429 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณร้อยละ 30 ของการค้าไทยกับโลก
กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
กระทรวงพาณิชย์
27 พฤศจิกายน 2562
ที่มา: กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ