กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เตรียมเปิดเวทีสัมมนาสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับผู้ผลิต ผู้ประกอบการ ในภาคเหนือ ในหัวข้อ “ก้าวต่อไปของไทย หลังปิดดีลอาร์เซ็ป” วันที่ 20 มกราคมนี้ ณ จังหวัดเชียงใหม่
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เตรียมจัดสัมมนา “ก้าวต่อไปของไทย หลังปิดดีลอาร์เซ็ป” ในวันจันทร์ที่ 20 มกราคม 2563 ณ โรงแรมวินทรี ซิตี้ รีสอร์ท จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเรื่องความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค หรืออาร์เซ็ป โดยในช่วงเช้าจะเป็นการเสวนาหัวข้อเรื่อง “สาระสำคัญของการเจรจา RCEP” และ "RCEP กับมุมมองเชิงภูมิรัฐศาสตร์” สำหรับในช่วงบ่ายจะมีผู้แทนจากกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ผู้แทนจากคณะเศรษฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้แทนจากหอการค้าไทย ผู้แทนจากสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย ผู้แทนจากสมาคมการค้าบิสคลับไทย ตั้งวงเสวนาหัวข้อ “วางแผนเก็บเกี่ยวประโยชน์ RCEP” โดยมี ผศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการศูนย์เศรษฐกิจระหว่างประเทศ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้ดำเนินรายการตลอดงาน
นางอรมน เสริมว่า ปัจจุบันความตกลงอาร์เซ็ป ถือเป็นความตกลง FTA ฉบับใหญ่ที่สุดในโลก ประกอบด้วยสมาชิก 16 ประเทศ ได้แก่ อาเซียน 10 ประเทศ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอินเดีย ที่มีประชากรรวมกันเกือบ 3,600 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 48 ของประชากรโลก มี GDP เท่ากับ 27 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 32 ของ GDP โลก และมีมูลค่าการค้ารวม 11.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 29 ของมูลค่าการค้าโลก หากความตกลงอาร์เซ็ปมีผลบังคับใช้ จะช่วยขยายการค้าและการลงทุนของไทย แม้อินเดียจะเข้าร่วมหรือไม่ก็ตาม ขณะเดียวกันก็จะส่งผลให้การแข่งขันสูงขึ้นด้วย ซึ่งผู้ประกอบการไทยต้องเตรียมรับมือ ทั้งในส่วนการพัฒนาสินค้าและบริการเพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขัน และการต่อยอดจากสินค้าหรือวัตถุดิบนำเข้าราคาถูกเพราะได้แต้มต่อทางภาษีศุลกากร
ทั้งนี้ ผู้สนใจเข้าร่วมการสัมมนาสามารถลงทะเบียน และสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0 2507 7512 หรือเว็บไซต์ www.dtn.go.th ซึ่งหลังจากการสัมมนาที่เชียงใหม่แล้ว กรมฯ เตรียมลงพื้นที่จัดสัมมนาที่จังหวัดชลบุรี ขอนแก่น และสงขลา ในช่วงปลายเดือนมกราคมถึงพฤษภาคม 2563 อีกด้วย
กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
กระทรวงพาณิชย์
16 มกราคม 2562
ที่มา: กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ