กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เผย เอฟทีเอหนุนไทยผู้ส่งออกสินค้าผลิตภัณฑ์ยาง เบอร์ 3 โลก แม้อยู่ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ยอดส่งออก 11 เดือนปี 63 ขยายตัว 7% สินค้าดาวรุ่ง อาทิ ถุงมือยาง ยางสังเคราะห์ และผลิตภัณฑ์ยางที่ใช้ทางเภสัชกรรม พุ่ง 83% 17% และ 2% ตามลำดับ ตลาดที่ไทยมีเอฟทีเอด้วยขยายตัวได้ดี จีนมาแรงอันดับหนึ่ง ตามด้วย ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย แนะผู้ประกอบการไทยใช้เอฟทีเอขยายส่งออกต่อเนื่อง
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า จากการติดตามสถิติการค้าของไทย พบว่า สินค้าผลิตภัณฑ์ยาง หรือ สินค้ายางแปรรูปในลักษณะผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป มีการส่งออกขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แม้อยู่ในช่วงสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยในช่วงมกราคม-พฤศจิกายน 2563 ไทยส่งออกผลิตภัณฑ์ยาง มูลค่า 10,938 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 ส่งผลให้ไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์ยางอันดับ 3 ของโลก รองจากจีนและเยอรมนี
สำหรับสินค้าผลิตภัณฑ์ยางที่ไทยส่งออกไปตลาดโลกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ถุงมือยาง ส่งออกมูลค่า 2,018 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 83% ตลาดส่งออกสำคัญ คือ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น และจีน ยางสังเคราะห์ ส่งออกมูลค่า 2,233 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 17% ตลาดส่งออกสำคัญ คือ จีน มาเลเซีย และญี่ปุ่น และผลิตภัณฑ์ยางที่ใช้ทางเภสัชกรรม อาทิ จุกยาง ปลอกนิ้วยาง ถุงยางคุมกำเนิด ส่งออก มูลค่า 205 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 2% ตลาดส่งออกสำคัญ คือ จีน สหรัฐอเมริกา และมาเลเซีย
นางอรมน กล่าวว่า ความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้การส่งออกผลิตภัณฑ์ยางของไทยเติบโต เนื่องจากปัจจุบัน 14 ประเทศคู่เอฟทีเอ ได้แก่ อาเซียน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เปรู และฮ่องกง ไม่เก็บภาษีนำเข้าสินค้าผลิตภัณฑ์ยางทุกรายการจากไทย สำหรับอีก 4 ประเทศ ได้แก่ จีน เกาหลีใต้ อินเดีย ชิลี ได้ยกเว้นภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์ยางส่วนใหญ่ให้ไทยแล้ว เหลือเพียงบางรายการที่ยังคงเก็บภาษี เช่น จีน เก็บภาษียางสังเคราะห์ 5% เกาหลีใต้ เก็บภาษียางสังเคราะห์ 5% อินเดีย เก็บภาษียางนอกชนิดที่ใช้กับรถยนต์นั่ง และของที่ทำด้วยยาง เช่น rubber band 5% และ ชิลี เก็บภาษียางนอกชนิดที่ใช้กับรถยนต์นั่งและรถบัสอัตรา 1.32% เป็นต้น สำหรับสินค้าถุงมือยางและผลิตภัณฑ์ยางที่ใช้ในทางเภสัชกรรม ประเทศคู่เอฟทีเอ 18 ประเทศ ได้ยกเว้นภาษีนำเข้าทุกรายการของไทยแล้ว
ทั้งนี้ ในช่วงมกราคม-พฤศจิกายน 2563 การส่งออกผลิตภัณฑ์ยางของไทยไปประเทศคู่เอฟทีเอ มีมูลค่า 4,889
ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 45% ของการส่งออกสินค้าผลิตภัณฑ์ยางทั้งหมด ขยายตัว 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 เมื่อพิจารณารายประเทศ พบว่า จีน ไทยส่งออก มูลค่า 2,584 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 22% ญี่ปุ่น ไทยส่งออกมูลค่า 465 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 0.1% ออสเตรเลีย ไทยส่งออก มูลค่า 269 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 6% เกาหลีใต้ ไทยส่งออก มูลค่า 223 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 13% และเปรู ไทยส่งออก มูลค่า 27 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 26%
?การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ความต้องการผลิตภัณฑ์ยางในตลาดโลกเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส ซึ่งไทยมีข้อได้เปรียบในฐานะประเทศผู้ผลิตยางธรรมชาติมากที่สุดของโลก ดังนั้น นอกจากการให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรมการผลิตให้ได้มาตรฐานและคุณภาพ เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ยางใหม่ๆ ผู้ประกอบการควรเพิ่มโอกาสการส่งออกและขยายตลาดต่างประเทศ โดยใช้ข้อได้เปรียบจากความตกลงการค้าเสรีที่ไทยมีกับประเทศต่างๆ? นางอรมน เสริม
สำหรับผู้สนใจสามารถตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับความตกลงการค้าเสรี อัตราภาษีศุลกากร และกฎระเบียบทางการค้าได้ที่เว็บไซต์กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ http://dtn.go.th, http://tax.dtn.go.th หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ FTA Center ชั้น 3 กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ โทร. 0 2507 7555
กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศกระทรวงพาณิชย์
19 มกราคม 2564
ที่มา: กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ