?อาเซียน? เดินหน้าสร้างความร่วมมือและส่งเสริมการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ ทั้งประเทศบวกสามและบวกแปด เน้นการอำนวยความสะดวกทางการค้า การพัฒนาศักยภาพด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลให้วิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมและรายย่อย และการใช้ประโยชน์จาก RCEP รวมทั้งแนวทางการพัฒนาและฟื้นฟูเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกหลังวิกฤตโควิด
นางสาวโชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล รองอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 5 ? 6 สิงหาคม ที่ผ่านมา ได้รับมอบหมายจากอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ (นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม) ให้เข้าร่วมการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านเศรษฐกิจอาเซียนบวกสาม (จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น) ครั้งที่ 39 และการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านเศรษฐกิจอาเซียนบวกแปด (จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สหรัฐอเมริกา และรัสเซีย) หรือ East Asia Summit (EAS) ครั้งที่ 11 ณ เมืองเสียมราฐ ราชอาณาจักรกัมพูชา เพื่อเดินหน้าสร้างความร่วมมือและส่งเสริมการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ตลอดจนเตรียมการสำหรับการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจบวกสามและ EAS ในเดือนกันยายนนี้
นางสาวโชติมา กล่าวว่า ที่ประชุมอาเซียนบวกสาม ได้รับทราบข้อเสนอแนะของสภาธุรกิจเอเชียตะวันออกหรือ EABC เรื่องแนวโน้มและมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤตโควิด-19 และพร้อมให้การสนับสนุนภาคเอกชนเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจระหว่างอาเซียนบวกสามให้กลับมาเติบโตอีกครั้ง อาทิ การอำนวยความสะดวกทางการค้า การพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีและดิจิทัล โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (MSMEs) และการให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้สิทธิประโยชน์ความตกลงอาร์เซ็ป (RCEP) อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังได้หารือการจัดทำแผนงานความร่วมมือด้านเศรษฐกิจอาเซียนบวกสาม ปี 2566-2567 ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความร่วมมือทางการค้า เศรษฐกิจ และการลงทุนระหว่างกันอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น อาทิ การส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (FTA) ระหว่างอาเซียนกับคู่เจรจา โดยเฉพาะ FTA อาเซียน-จีน อาเซียน-ญี่ปุ่น และอาเซียน-เกาหลีใต้ รวมถึงความตกลง RCEP การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล MSMEs และพลังงานและเศรษฐกิจสีเขียว โดยตั้งเป้าที่จะรับรองแผนงานดังกล่าวในช่วงการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจบวกสาม ในเดือน ก.ย.นี้
นางสาวโชติมา เพิ่มเติมว่า สำหรับการประชุมอาเซียนบวกแปด (EAS) ได้หารือแนวทางการพัฒนาและการฟื้นฟูเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออก หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเห็นว่าประเทศสมาชิก EAS ต้องปรับห่วงโซ่อุปทานให้เป็นระบบดิจิทัล พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล สนับสนุนกลุ่มวิสาหกิจ Start-ups และอำนวยความสะดวกทางการค้าดิจิทัล เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันของห่วงโซ่อุปทานโลกหรือเครือข่ายการผลิตระหว่างประเทศ
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้เน้นย้ำบทบาทความเป็นแกนกลางของอาเซียนในภูมิภาคเอเชียตะวันออก ตลอดจนมุมมองของอาเซียนต่อแนวคิดอินโด-แปซิฟิก และให้ความสำคัญในการเสริมสร้างการบูรณาการทางเศรษฐกิจและลดช่องว่างระดับการพัฒนาในภูมิภาค ผ่านความร่วมมือหุ้นส่วนแบบยุทธศาสตร์รอบด้าน การยกระดับความตกลงการค้าเสรี และการส่งเสริมการค้าการลงทุนในภูมิภาค ซึ่งจะช่วยสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจที่เข้มแข็งและความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจในการรับมือกับวิกฤตต่างๆ ทั้งด้านสาธารณสุข ด้านอาหาร ด้านพลังงาน และภาวะวิกฤติเงินเฟ้อ รวมทั้งให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียตะวันออก
ทั้งนี้ ในปี 2564 การค้าระหว่างไทยกับประเทศอาเซียนบวกแปด มีมูลค่า 385,127.80 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 23% โดยไทยเกินดุลการค้า 10,287.50 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับในครึ่งปีแรก (ม.ค.-มิ.ย. 2565) การค้ารวมระหว่างไทยกับประเทศบวกแปด มีมูลค่า 147,609 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยไทยส่งออกมูลค่า 70,781 ล้านเหรียญสหรัฐ และไทยนำเข้ามูลค่า 76,828 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญของไทย ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ น้ำมันสำเร็จรูป เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง อัญมณีและเครื่องประดับ ผลไม้สดแช่เย็น และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบเครื่องจักรกล
11 สิงหาคม 2565
ที่มา: กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ