“พาณิชย์”เป็นปลื้มเอฟทีเอช่วยเปิดตลาดให้ผักและผลไม้ไทยเจาะตลาดออสเตรเลียและนิวซีแลนด์สำเร็จ ทั้งมังคุด ลำไย ลิ้นจี่ ทุเรียน สับปะรด ส้มโอ แม้มูลค่าจะยังไม่มาก แต่อนาคตสดใสแน่ ส่วนสินค้าที่เป็นห่วงทั้งเนย นม เนื้อวัว เนื้อหมู การนำเข้าเพิ่มเล็กน้อย มีการใช้มาตรการปกป้องนำเข้าเพียงองุ่นและเนยแข็งเท่านั้น ส่วนการลงทุนก็เพิ่มมากขึ้น ญี่ปุ่นมากสุด 164 โครงการ สำหรับเอฟทีเอ 6 เดือน ไทยเกินดุลออสเตรเลีย อินเดีย ขาดดุลนิวซีแลนด์และญี่ปุ่น
นางสาวชุติมา บุณยประภัศร อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยถึงสถานการณ์การค้าของไทยภายใต้ข้อตกลงเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ที่ไทยทำกับประเทศต่างๆ ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-มิ.ย..) ว่า เอฟทีเอที่ไทยได้ทำกับประเทศต่างๆ มีผลช่วยให้มูลค่าการค้าไทยเพิ่มขึ้น ที่สำคัญสามารถช่วยเปิดตลาดให้กับสินค้ารายการใหม่ๆ ที่ไทยไม่เคยส่งออกได้ เช่น สามารถเปิดตลาดสินค้าผักและผลไม้ในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ จากที่ก่อนหน้านี้ ทั้ง 2 ประเทศมีมาตรการด้านสุขอนามัย (SPS) ที่ทำให้ผลไม้ไทยส่งออกไปยากมาก
โดยผลการเจรจาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ออสเตรเลียได้อนุญาตให้นำเข้าสินค้าที่อยู่ใน Priority List แล้ว 7 รายการ ได้แก่ มังคุด ลำไย ลิ้นจี่ สับปะรด ทุเรียนแกะเปลือก ส้มโอแกะเปลือก และปลาสวยงาม โดยในช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่านมา ไทยส่งออกสินค้าเหล่านี้ไปแล้วเป็นมูลค่ากว่า 1.4 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 40% ส่วนนิวซีแลนด์ ได้อนุญาตให้นำเข้าจำนวน 5 รายการ ได้แก่ มังคุด ลำไย ลิ้นจี่ ขิงสด และทุเรียนแกะเปลือก โดยไทยส่งออกรวม 0.3 ล้านเหรียญสหรัฐ เบื้องต้นแม้มูลค่าการส่งออกยังไม่มากนัก แต่อนาคตคาดว่าไทยจะส่งออกได้เพิ่มมากขึ้นแน่
นางสาวชุติมากล่าวว่า สินค้าที่น่าเป็นห่วงว่าจะมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นจากการเปิดเสรี เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู เครื่องในวัว เครื่องในหมู เนยแข็ง หางนมผง องุ่นสด และมันฝรั่ง ไทยสามารถใช้มาตรการปกป้องการนำเข้าได้ จนถึงขณะนี้ไทยได้ใช้มาตรการดังกล่าวกับองุ่นสดที่นำเข้าจากออสเตรเลีย และได้ใช้มาตรการกับสินค้าเนยแข็งจากนิวซีแลนด์ ส่วนสินค้าอื่นๆ มีการนำเข้ามาไม่เกินปริมาณที่กำหนด จึงยังไม่มีการใช้มาตรการดังกล่าว
นอกจากนี้ เอฟทีเอยังช่วยให้การลงทุนเพิ่มขึ้น โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2551 ออสเตรเลียมีโครงการที่ขอรับการส่งเสริมลงทุน 8 โครงการ มูลค่ากว่า 30 ล้านเหรียญสหรัฐ เทียบกับปีก่อนที่มี 14 โครงการ มูลค่ากว่า 29 ล้านเหรียญสหรัฐ นิวซีแลนด์ 4 โครงการ มูลค่ากว่า 13 ล้านเหรียญสหรัฐ ปีก่อนไม่มีการลงทุน อินเดีย 10 โครงการ มูลค่ากว่า 16 ล้านเหรียญสหรัฐ เทียบปีก่อน 12 โครงการ มูลค่ากว่า 61 ล้านเหรียญสหรัฐ จีน 7 โครงการ มูลค่ากว่า 5 ล้านเหรียญสหรัฐ เทียบปีก่อนมี 18 โครงการ มูลค่ากว่า 116 ล้านเหรียญสหรัฐ และญี่ปุ่น 164 โครงการ มูลค่ากว่า 875 ล้านเหรียญสหรัฐ เทียบปีก่อนมี 161 โครงการ มูลค่ากว่า 1,811 ล้านเหรียญสหรัฐ
นางสาวชุติมากล่าวว่า สำหรับการค้ารวมภายใต้เอฟทีเอกรอบต่างๆ ในช่วง 6 เดือนแรกนั้น เอฟทีเอไทย-ออสเตรเลีย ได้ดุลการค้า 1,044.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ไทยส่งออกมูลค่า 3,511.2 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 31.4% นำเข้า 2,466.6 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 37.5% เอฟทีไทย-อินเดีย ได้ดุลการค้า 256.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ไทยส่งออก 1,576.9 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 28.2% นำเข้า 1,320.2 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 36.9% ขณะที่เอฟทีเอไทย-นิวซีแลนด์ ไทยส่งออกมูลค่า 350.9 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 27.8% นำเข้า 422.5% ขาดดุลการค้า 71.7 ล้านเหรียญสหรัฐ
เอฟทีเออาเซียน-จีน ไทยส่งออก 8,359.9 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 27.4% นำเข้า 9,977.9 ล้านเหรียญสหรัฐ ขาดดุลการค้า 1,618 ล้านเหรียญสหรัฐ และเอฟทีเอไทย-ญี่ปุ่น ไทยส่งออก 9,878.8 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 13% นำเข้า 16,480.2 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 23.1% ขาดดุลการค้า 6,601.4 ล้านเหรียญสหรัฐ
กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เลขที่ 44/100 ถ.นนทบุรี1 ต. บางกระสอ อ. เมือง จ. นนทบุรี 11000
โทรศัพท์ (66) 2507-7444 แฟกซ์ (66) 2547-5630
-พห-