กรุงเทพโพลล์: ความเชื่อมั่นต่อนายกฯ อภิสิทธิ์ ในการแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน

ข่าวผลสำรวจ Tuesday November 9, 2010 09:06 —กรุงเทพโพลล์

ด้วยวันที่ 10 - 13 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้ ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมนานาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ครั้งที่ 14 ประกอบกับก่อนหน้านี้ นายกฯ อภิสิทธิ์ ได้กล่าวผ่านรายการเชื่อมั่นประเทศไทยว่าจะใช้โอกาสในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้เชิญชวนทุกภาคส่วนมาทำข้อตกลงร่วมกัน และประกาศเจตนารมณ์หยุดยั้งพฤติกรรมการทุจริตคอร์รัปชันทั้งหมดอย่างเป็นระบบ ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) จึงได้ดำเนินโครงการสำรวจความคิดเห็นประชาชนเรื่อง “ความเชื่อมั่นต่อนายกฯ อภิสิทธิ์ ในการแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน” โดยเก็บข้อมูลจากประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวนทั้งสิ้น 1,136 คน เมื่อวันที่ 2 - 4 พฤศจิกายนที่ผ่านมา สรุปผลได้ดังนี้

ประชาชนถึงร้อยละ 93.1 เห็นว่าปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันของสังคมไทยในปัจจุบันเป็นปัญหาที่รุนแรงถึงรุนแรงมาก โดยการทุจริตคอร์รัปชันที่ประชาชนคิดว่าเป็นปัญหารุนแรงมากที่สุดในขณะนี้ได้แก่ การใช้อิทธิพลทางการเมืองแสวงหาผลประโยชน์ (ร้อยละ 40.8) รองลงมาคือ การจัดซื้อจัดจ้าง การฮั้วประมูล (ร้อยละ 16.4) และการใช้นโยบาย/ใช้กฎหมาย แบบ 2 มาตรฐาน (ร้อยละ 13.0) ตามลำดับ

เมื่อสอบถามถึงความเชื่อมั่นต่อแนวทางการแก้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันที่นายกฯ อภิสิทธิ์กล่าวผ่านรายการเชื่อมั่นประเทศไทยเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม ที่ผ่านมา พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าแนวทางการแก้ปัญหาที่นายกฯ ประกาศออกมาทั้ง 4 เรื่องจะทำให้เกิดผลได้จริง โดยเรื่องการปรับปรุงระบบการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการประจำให้โปร่งใส ปราศจากการแทรกแซงจากผู้มีอำนาจทั้งฝ่ายประจำและฝ่ายการเมือง เป็นเรื่องที่ประชาชนเชื่อว่าจะไม่สามารถทำให้สำเร็จผลได้มากที่สุด รองลงมาคือ การปรับปรุงระบบการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อให้เกิดการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม

ส่วนเรื่องที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมนานาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ในวันที่ 10 - 13 พ.ย. นี้ พบว่าประชาชนส่วนใหญ่ถึงร้อยละ 75.8 ไม่ทราบว่าประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมดังกล่าว นอกจากนี้เมื่อถามว่าหลังการประชุมแล้วปัญหาทุจริตคอร์รัปชันของประเทศไทยจะเป็นอย่างไร พบว่า ส่วนใหญ่ (ร้อยละ 72.3) เชื่อว่า ปัญหาทุจริตคอร์รัปชันของประเทศไทยจะยังคงเหมือนเดิม มีเพียงร้อยละ 15.5 ที่เชื่อว่าจะน้อยลง ขณะที่ร้อยละ 12.2 เชื่อว่าจะมากขึ้น

สำหรับนักการเมืองไทยในปัจจุบันที่มีภาพลักษณ์ของความซื่อสัตย์สุจริตมากที่สุดได้แก่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (ร้อยละ 49.8) รองลงมาคือ นายชวน หลีกภัย (ร้อยละ 30.3) และนายกรณ์ จาติกวณิช (ร้อยละ 2.2) ส่วนนักการเมืองที่มีภาพลักษณ์ของความซื่อสัตย์สุจริตน้อยที่สุดได้แก่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ (ร้อยละ 39.2) รองลงมาคือ นายเนวิน ชิดชอบ (ร้อยละ 24.2) และนายโสภณ ซารัม (ร้อยละ 8.3) ตามลำดับ

ดังรายละเอียดต่อไปนี้

1. ความคิดเห็นต่อความรุนแรงของปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันของสังคมไทยในปัจจุบัน พบว่า
          รุนแรงถึงรุนแรงมาก                                ร้อยละ          93.1

(โดยแบ่งเป็น รุนแรงร้อยละ 51.0 และรุนแรงมากร้อยละ 42.1)

          ไม่ค่อยรุนแรงถึงไม่รุนแรงเลย                         ร้อยละ           6.9

(โดยแบ่งเป็น ไม่ค่อยรุนแรงร้อยละ 6.6 และไม่รุนแรงเลยร้อยละ 0.3)

2. เรื่องการทุจริตคอร์รัปชันที่เป็นปัญหารุนแรงมากที่สุดของประเทศไทยในขณะนี้ คือ
          การใช้อิทธิพลทางการเมืองแสวงหาผลประโยชน์            ร้อยละ          40.8
          การจัดซื้อจัดจ้าง การฮั้วประมูล                        ร้อยละ          16.4
          การใช้นโยบาย และใช้กฎหมาย แบบ 2 มาตรฐาน          ร้อยละ          13.0
          การให้ผลตอบแทนและรับสินบน                         ร้อยละ          11.3
          การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการประจำ                    ร้อยละ           9.6
          การทุจริตการเลือกตั้ง                               ร้อยละ           8.9

3. ความเชื่อมั่นต่อแนวทางการแก้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันที่นายกฯ อภิสิทธิ์ กล่าวผ่านรายการเชื่อมั่นประเทศไทย เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม ที่ผ่านมา หลังการประชุมร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรอิสระ เพื่อกำหนดแนวทางการแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชันอย่างเป็นระบบ ว่าแนวทางที่ประกาศต่อไปนี้จะทำให้สำเร็จผลได้จริงหรือไม่
          แนวทางการแก้ปัญหา                                           เชื่อว่าทำได้   เชื่อว่าทำไม่ได้     รวม
                                                                      (ร้อยละ)     (ร้อยละ)      (ร้อยละ)
1) ปรับปรุงระบบการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ โดยเปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกเข้ามา
มีส่วนร่วมมากขึ้นในกระบวนการคัดเลือกหรือสรรหา เพื่อไม่ให้การคัดเลือกหรือสรรหา
จำกัดอยู่ในวงแคบๆ และเป็นไปตามความต้องการของผู้มีอำนาจทั้งฝ่ายประจำ และ
   ฝ่ายการเมืองมากกว่าจะเป็นไปตามกระบวนการของการคัดเลือกหรือสรรหา            33.2         66.8         100.0
2) ปรับปรุงระบบการจัดซื้อจัดจ้าง โดยเฉพาะการประมูลงานผ่านระบบ
อิเล็กทรอนิกส์ (อี-ออคชั่น) ให้สอดคล้องกับภาวะของการจัดซื้อจัดจ้างในแต่ละเรื่อง
   เพื่อให้เกิดการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรมอย่างแท้จริง                         36.5         63.5         100.0
3) ปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการว่าจ้างที่ปรึกษาให้รอบคอบรัดกุม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ในโครงการขนาดใหญ่เพื่อ ป้องกันไม่ให้ที่ปรึกษาเข้าไปกำหนดรายละเอียดต่างๆ ของ
   โครงการซึ่งเอื้อต่อผู้เข้าประมูลงานรายใดรายหนึ่ง และทำให้เกิดการแข่งขันที่ไม่สมบูรณ์   37.1         62.9         100.0
4) ปรับปรุงการกำหนดราคากลาง โดยจัดทำราคาต้นทุนมาตรฐานเพื่อนำมาเทียบเคียงกัน
เพื่อป้องกันไม่ให้มีการกำหนดราคากลางสูงเกินความเป็นจริง และนำไปสู่การสมยอม
   ในการเสนอราคา                                                      49.7         50.3         100

4. การรับทราบเรื่องที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมนานาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ในวันที่ 10 - 13 พ.ย. ที่จะถึงนี้ พบว่า
          ไม่ทราบ          ร้อยละ          75.8
          ทราบ            ร้อยละ          24.2

5. หลังจากการประชุมนานาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริตแล้ว ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันของประเทศไทยจะเป็นอย่างไร (ปัจจุบันประเทศไทยติดอันดับโลกเรื่องการทุจริต โดยอยู่อันดับ 78 จาก 178 ประเทศทั่วโลก และอยู่ในอันดับ 9 จาก 23 ประเทศในภูมิภาคเอเชีย)
          ทุจริตคอร์รัปชันมากขึ้น                     ร้อยละ          12.2

(โดยให้เหตุผลว่า ยังไม่มีการพัฒนา นักการเมืองยังเห็นแก่ผลประโยชน์ของตนเองเป็นหลัก)

          ทุจริตคอร์รัปชันเหมือนเดิม/เท่าเดิม           ร้อยละ          72.3

(โดยให้เหตุผลว่า ยังไงก็แก้ไม่ได้ นักการเมืองยังทุจริตเหมือนเดิม มีทุกยุคทุกสมัย)

          ทุจริตคอร์รัปชันน้อยลง                     ร้อยละ          15.5

(โดยให้เหตุผลว่า มีนโยบายที่จริงจังขึ้น น่าจะมีแนวทางแก้ปัญหาที่ดีขึ้น)

6. นักการเมืองไทยในปัจจุบันที่มีภาพลักษณ์ของความซื่อสัตย์สุจริตมากที่สุด (3 อันดับแรก) คือ
(เป็นคำถามปลายเปิดให้ผู้ตอบระบุเอง)
          นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ                                                  ร้อยละ  49.8
          นายชวน หลีกภัย                                                       ร้อยละ  30.3
          นายกรณ์ จาติกวณิช                                                     ร้อยละ   2.2

อื่นๆ อาทิ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร และนายจาตุรนต์ ฉายแสง ร้อยละ 17.7

7. นักการเมืองไทยในปัจจุบันที่มีภาพลักษณ์ของความซื่อสัตย์สุจริตน้อยที่สุด (3 อันดับแรก) คือ
(เป็นคำถามปลายเปิดให้ผู้ตอบระบุเอง)
          นายสุเทพ เทือกสุบรรณ                                                                  ร้อยละ 39.2
          นายเนวิน ชิดชอบ                                                                      ร้อยละ 24.2
          นายโสภณ ซารัมย์                                                                      ร้อยละ  8.3

อื่นๆ อาทิ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล และพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ร้อยละ 28.3

รายละเอียดในการสำรวจ

ระเบียบวิธีการสำรวจ

การสำรวจใช้การสุ่มตัวอย่างประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปในทุกสาขาอาชีพ ในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 26เขต จาก 50 เขต ทั้งเขตชั้นใน ชั้นกลาง และชั้นนอก ได้แก่ คลองเตย คลองสามวา จตุจักร จอมทอง ดอนเมือง ดินแดง ดุสิต ทุ่งครุ บางกะปิ บางเขน บางคอแหลม บางซื่อ บางนา บางบอน บางรัก บึงกุ่ม ประเวศ ป้อมปราบ พระโขนง พระนคร ราชเทวี สวนหลวง สะพานสูง สาทร สายไหม และหลักสี่ และจังหวัดในเขตปริมณฑลรวม 3 จังหวัด ได้แก่ นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-Stage Sampling) จากนั้นใช้วิธีเก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์แบบพบตัว ได้กลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้นจำนวน 1,136 คน เป็นชายร้อยละ 50.4 และหญิงร้อยละ 49.6

ความคลาดเคลื่อน (Margin of Error)

ในการประมาณการขนาดตัวอย่างมีขอบเขตของความคลาดเคลื่อน +/- 3% ที่ระดับความเชื่อมั่น 95%

วิธีการรวบรวมข้อมูล

ใช้การสัมภาษณ์แบบพบตัว โดยเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามที่มีโครงสร้างแน่นอน โดยเป็นข้อคำถามแบบเลือกตอบ (Check List Nominal) และคำถามปลายเปิดให้ผู้ตอบระบุคำตอบเอง จากนั้นคณะนักวิจัยได้นำแบบสอบถามทุกชุดมาตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ก่อนบันทึกข้อมูลและประมวลผล

ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล            :   2 - 4 พฤศจิกายน 2553

วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ               :    9  พฤศจิกายน 2553

ข้อมูลประชากรศาสตร์

จำนวน (คน) ร้อยละ เพศ

                       ชาย                            573          50.4
                       หญิง                            563          49.6
          รวม                                       1,136         100.0

อายุ
                      18 - 25 ปี                       278          24.5
                      26 - 35 ปี                       296          26.0
                      36 - 45 ปี                       276          24.3
                      46 ปีขึ้นไป                        286          25.2
          รวม                                       1,136         100.0

การศึกษา
               ต่ำกว่าปริญญาตรี                           668          58.9
               ปริญญาตรี                                415          36.5
               สูงกว่าปริญญาตรี                            40           3.5
              ไม่ระบุการศึกษา                             13           1.1
          รวม                                       1,136         100.0

อาชีพ
               ข้าราชการ / พนักงานรัฐวิสาหกิจ               84           7.4
               พนักงาน / ลูกจ้าง บริษัทเอกชน               260          22.9
               ค้าขาย / ประกอบอาชีพส่วนตัว                418          36.8
               รับจ้างทั่วไป                              167          14.7
               พ่อบ้าน แม่บ้าน เกษียณอายุ                    67           5.9
               อื่นๆ อาทิ นักศึกษา อาชีพอิสระ ว่างงาน เป็นต้น   135          11.9
               ไม่ระบุอาชีพ                                5           0.4
          รวม                                        1,136        100.0

--ศูนย์วิจัยกรุงเทพโพลล์--

-พห-

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ