ผลโพลล์สำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์
เรื่อง “ความเห็นต่อมาตรการควบคุมสินเชื่ออสังหาฯ ของ ธปท.”
นักเศรษฐศาสตร์ 40 ใน 50 คน หนุนมาตรการควบคุมสินเชื่ออสังหาฯ ของ ธปท. ชี้ กันไว้ดีกว่าแก้
ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ(กรุงเทพโพลล์) เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานด้านการวิเคราะห์ วิจัยเศรษฐกิจระดับชั้นนำของประเทศ จำนวน 22 แห่ง เรื่อง “ความเห็นต่อมาตรการควบคุมสินเชื่ออสังหาฯ ของ ธปท.” โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 12-15 พ.ย. ที่ผ่านมา พบว่า
นักเศรษฐศาสตร์จำนวน 30 ใน 50 คน ชี้ให้เห็นว่าปัจจุบันเริ่มมีสัญญาณฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ แม้ว่าสัญญาณดังกล่าวจะยังไม่เด่นชัดนักเมื่อเทียบกับปัญหาฟองสบู่ในช่วงวิกฤติปี 40 เมื่อสอบถามถึงโอกาส ที่จะเกิดปัญหาฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ในปีหน้า (พ.ศ. 2554) หาก ธปท. ไม่ออกมาตรการควบคุมใดๆ นักเศรษฐศาสตร์จำนวน 28 คนยังคงเชื่อว่าโอกาสการเกิดฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์อยู่ในระดับต่ำ ขณะที่จำนวน 17 คนมองว่ามีโอกาสสูงที่จะเกิดฟองสบู่ (และในจำนวนนี้ 10 คนมองว่ามาตรการของ ธปท. ที่ออกมายังมีความเข้มข้นไม่เพียงพอที่จะแก้ปัญหาฟองสบู่)
นอกจากนี้ เมื่อสอบถามความเห็นที่มีต่อ มาตรการควบคุมสินเชื่ออสังหาฯ ของ ธปท. นักเศรษฐศาสตร์มากถึง 40 ใน 50 คน สนับสนุนการดำเนินมาตรการดังกล่าวของ ธปท. โดยมองว่า มาตรการดังกล่าวเป็นมาตรการที่ออกมาป้องกันซึ่งดีกว่ามาแก้ในภายหลัง เพราะอาจจะไม่ทันการณ์ อีกทั้งยังเป็นการส่งสัญญาณไปยังผู้ประกอบการและผู้ซื้อ ซึ่งจะส่งผลในแง่จิตวิทยา และเป็นการรักษาเสถียรภาพในระยะยาวอีกด้วย
ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์หลายท่านได้กล่าวชื่นชมการดำเนินมาตรการของ ธปท. ในครั้งนี้ว่าเป็นมาตรการที่ดี ไม่เข้มงวดจนเกินไป แต่สามารถส่งผลกระทบในแง่จิตวิทยาต่อตลาดได้ อีกทั้งยังมีการขอความคิดเห็นจากผู้ประกอบการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน อันช่วยให้ตลาดมีการซึมซับข่าวในระดับหนึ่งก่อนการประกาศมาตรการออกมา
สำหรับในปีหน้า (พ.ศ. 2554) นักเศรษฐศาสตร์ยังคงเป็นห่วงการเกิดฟองสบู่ในตลาดหลักทรัพย์ ตลาดตราสารหนี้ ตลาดทองคำ ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึง ธุรกิจอสังหาฯ ในส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจการท่องเที่ยว อันเป็นผลสืบเนื่องจากการดำเนินนโยบายการเงินของสหรัฐ
(โปรดพิจารณารายละเอียดของผลสำรวจดังต่อไปนี้)
1. ความเห็นเกี่ยวกับ สัญญาณของฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์
มีสัญญาณฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 30 (หรือร้อยละ 60.0) ไม่มีสัญญาณฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 17 (หรือร้อยละ 34.0) ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ/ไม่ทราบ จำนวน 3 (หรือร้อยละ 6.0) รวม จำนวน 50 (หรือร้อยละ 100.0) 2. ความเห็นเกี่ยวกับ โอกาสในการเกิดปัญหาฟองสบู่ภาคอสังหาริมทรัพย์ในปีหน้า (พ.ศ. 2554) หาก ธปท. ไม่ออกมาตรการควบคุมสินเชื่อภาคอสังหาฯ มีโอกาสสูงต่อการเกิดฟองสบู่ และ มาตรการมีความเข้มข้นเพียงพอที่จะแก้ปัญหาฟองสบู่ จำนวน 5 มาตรการมีความเข้มข้นไม่เพียงพอที่จะแก้ปัญหาฟองสบู่ จำนวน 10 ไม่แสดงความเห็น จำนวน 2 จำนวน 17 (หรือร้อยละ 34.0) มีโอกาสน้อยต่อการเกิดฟองสบู่ จำนวน 28 (หรือร้อยละ 56.0) ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ/ไม่ทราบ จำนวน 5 (หรือร้อยละ 10.0) รวม จำนวน 50 (หรือร้อยละ 100.00) 3. ความเห็นเกี่ยวกับ มาตรการควบคุมสินเชื่ออสังหาฯ ของ ธปท. เห็นด้วย จำนวน 40 (หรือร้อยละ 80.0) เนื่องจาก 1. เป็นมาตรการที่ออกมาป้องกันที่ดีกว่ามาแก้ภายหลัง เพราะอาจจะไม่ทันการณ์
2. เป็นการส่งสัญญาณไปยังผู้ประกอบการและผู้ซื้อ ซึ่งจะส่งผลในแง่จิตวิทยา
3. เป็นการรักษาเสถียรภาพในระยะยาว ช่วยกลั่นกรองคุณภาพการก่อหนี้
ไม่เห็นด้วย จำนวน 5 (หรือร้อยละ 10.0) เนื่องจาก ยังไม่ถึงเวลา และภาคอสังหาฯ ยังไม่ได้มีภาวะฟองสบู่ อีกทั้งจะกระทบกับผู้บริโภคได้ ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ/ไม่ทราบ จำนวน 5 (หรือร้อยละ 10.0) รวม จำนวน 50 (หรือร้อยละ 100.0) 4. ความเห็นเกี่ยวกับ ภาคเศรษฐกิจอื่นๆ ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาฟองสบู่ในปีหน้า (พ.ศ. 2554)
นักเศรษฐศาสตร์ได้ให้ข้อสังเกตุว่าการดำเนินนโยบายการเงินของสหรัฐว่าจะทำให้มีเงินทุนไหลเข้ามายังภูมิภาคเอเชียเพิ่มขึ้นอีกอย่างแน่นอนและจะก่อให้เกิดปัญหาฟองสบู่ในการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ตลาดตราสารหนี้ ตลาดทองคำ ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึง ธุรกิจอสังหาฯ ในส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจการท่องเที่ยว
หมายเหตุ: รายงานผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ฉบับนี้ เป็นการสำรวจความเห็นส่วนตัวของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งมิได้สื่อถึงแนวนโยบายขององค์กรที่นักเศรษฐศาสตร์สังกัดอยู่แต่อย่างใด
ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) โทร. 02-350-3500 ต่อ 1776
E-mail: bangkokpoll@bu.ac.th Website: http://research.bu.ac.th
Twitter : http://twitter.com/bangkok_poll
รายละเอียดในการสำรวจ
1. เพื่อสะท้อนความเห็นในประเด็นด้านเศรษฐกิจจากผู้ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจโดยตรงไปยังสาธารณชนโดยผ่านช่องทางสื่อมวลชน
2. เพื่อเสนอแนะต่อรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเตรียมการและวางแผนงานเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศไทย
กลุ่มตัวอย่าง
เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่สำเร็จการศึกษาทั้งระดับปริญญาตรีและปริญญาโทในสาขาเศรษฐศาสตร์ (กรณีสำเร็จการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์เฉพาะปริญญาตรี หรือปริญญาโท หรือปริญญาเอก อย่างใดอย่างหนึ่ง จะต้องมีประสบการณ์ในการทำงานด้านวิเคราะห์/วิจัย/หรืองานที่เกี่ยวข้องที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถด้านเศรษฐศาสตร์อย่างน้อย 5 ปี) ที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานด้านการวิเคราะห์ วิจัยเศรษฐกิจระดับชั้นนำของประเทศ จำนวน 22 แห่ง ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารนครหลวงไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารกรุงไทย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย สถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง บริษัทหลักทรัพย์ภัทร บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ บริษัทหลักทรัพย์พัฒนสิน คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาสงขลานครินทร์ คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์และนักวิจัยประจำศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ
วิธีการรวบรวมข้อมูล
รวบรวมข้อมูลโดยการส่งแบบสอบถามออนไลน์ไปยังนักเศรษฐศาสตร์ในหน่วยงานที่กำหนดภายในระยะเวลาที่กำหนด
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล : 12-15 พฤศจิกายน 2553 วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ : 16 พฤศจิกายน 2553 ข้อมูลรายละเอียดของกลุ่มตัวอย่าง จำนวน ร้อยละ ประเภทของหน่วยงานที่กลุ่มตัวอย่างทำงานอยู่ หน่วยงานภาครัฐ 22 44.0 หน่วยงานภาคเอกชน 21 42.0 สถาบันการศึกษา 7 14.0 รวม 50 100.0 เพศ ชาย 26 52.0 หญิง 24 48.0 รวม 50 100.0 อายุ 18 ปี — 25 ปี 1 2.0 26 ปี — 35 ปี 24 48.0 36 ปี — 45 ปี 13 26.0 46 ปีขึ้นไป 12 24.0 รวม 50 100.0 การศึกษา ปริญญาตรี 2 4.0 ปริญญาโท 38 76.0 ปริญญาเอก 10 20.0 รวม 50 100.0 ประสบการณ์ทำงานรวม 1-5 ปี 13 26.0 6-10 ปี 16 32.0 11-15 ปี 4 8.0 16-20 ปี 6 12.0 ตั้งแต่ 21 ปีขึ้นไป 11 22.0 รวม 50 100.0
--ศูนย์วิจัยกรุงเทพโพลล์--