ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุนิสา ประวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันที่มีปัญหารุมเร้าในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาปากท้องของประชาชน ปัญหาการชุมนุมประท้วง ปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และปัญหาความขัดแย้งกับประเทศกัมพูชา ศูนย์วิจัยกรุงเทพโพลล์ จึงได้ทำการสำรวจความคิดเห็นประชาชน เรื่อง “ความเชื่อมั่นต่อศักยภาพประเทศไทยในปัจจุบัน และอนาคตอีก 6 เดือนข้างหน้า” โดยเก็บข้อมูลจากประชาชนทั่วทุกภาคของประเทศจำนวน 1,427 คน เมื่อวันที่ 12— 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สรุปผลได้ดังนี้
ประชาชนมีความเชื่อมั่นต่อศักยภาพของประเทศไทยเฉลี่ยรวมทุกด้านเพียงแค่ 3.47 คะแนน (จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน) โดยปรับลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับการสำรวจครั้งก่อนหน้า (มิ.ย. 53) ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยเพิ่งผ่านพ้นเหตุการณ์สลายการชุมนุมในวันที่ 19 พฤษภาคม 53 ที่มีคะแนนเท่ากับ 3.57 คะแนน (ลดลงร้อยละ 2.8) และเมื่อพิจารณาความเชื่อมั่นในแต่ละด้านพบว่า ประชาชนมีความเชื่อมั่นด้านเศรษฐกิจมากที่สุด แต่ยังคงมีคะแนนไม่ถึงครึ่ง (4.01 คะแนน) รองลงมาคือด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม (3.47 คะแนน) ส่วนด้านการเมืองประชาชนมีความเชื่อมั่นน้อยที่สุด (2.94 คะแนน)
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาคะแนนความเชื่อมั่นในแต่ละตัวชี้วัดจากจำนวนทั้งสิ้น 12 ตัวชี้วัด พบว่า ความเชื่อมั่นต่อการแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชันมีคะแนนต่ำที่สุด (1.91 คะแนน) เช่นเดียวกับผลการสำรวจในครั้งที่ผ่านมา ขณะที่ความเชื่อมั่นด้านความสามารถแข่งขันกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียนเป็นความเชื่อมั่นที่มีคะแนนสูงที่สุด แต่ก็ยังไม่ถึงครึ่ง (4.69 คะแนน) ส่วนด้านความเชื่อมั่นที่ปรับลดลงมากที่สุดคือด้านความรักและสามัคคีของคนในชาติ (ลดลง 0.38 คะแนน) ข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ประชาชนยังคงมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจของประเทศว่าสามารถแข่งขันได้ในอาเซียน แต่ไม่เชื่อมั่นต่อการแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชันที่ฝังรากลึกในระบบการเมืองไทยและเมื่อรวมกับความเชื่อมั่นในความรักความสามัคคีของคนในชาติที่ลดลง สองสิ่งนี้จะเป็นปัจจัยกัดกร่อนศักยภาพของประเทศไทยทั้งในปัจจุบันและอนาคต
เมื่อถามถึงความเชื่อมั่นต่อศักยภาพของประเทศไทยในอีก 6 เดือนข้างหน้า พบว่า ร้อยละ 44.7 ระบุว่าเหมือนเดิม ร้อยละ 33.9 เชื่อว่าจะแย่ลง มีเพียงร้อยละ 21.3 ที่เชื่อว่าจะดีขึ้น
ความเชื่อมั่นในด้านต่างๆ คะแนนความเชื่อมั่น (เต็ม 10 คะแนน) มิ.ย. 53 ก.พ. 54 เปลี่ยนแปลง 1) ด้านสถานะทางเศรษฐกิจของคนในประเทศ (รายได้เพียงพอกับรายจ่าย การมีงานทำ การกินดีอยู่) 3.40 3.44 +0.04 2) ด้านฐานะการเงินของประเทศ (เงินคงคลัง หนี้ของประเทศ ทุนสำรองระหว่างประเทศ) 3.53 3.48 -0.05 3) ด้านศักยภาพของคนไทย (การศึกษา/สุขภาพ/ความรู้ความสามารถ/ความซื่อสัตว์มีวินัย และพัฒนาได้) 4.30 4.43 +0.13 4) ด้านความสามารถแข่งขันกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน (ด้านการผลิต เป็นแหล่งท่องเที่ยว การค้า และการลงทุน) 4.47 4.69 +0.22 ความเชื่อมั่นด้านเศรษฐกิจ (เฉลี่ยรวม) 3.92 4.01 +0.09 5) ด้านความรักและสามัคคีของคนในชาติ 3.26 2.88 -0.38 6) ด้านกระบวนการยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมาย (ความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย และความเท่าเทียมกันในการบังคับใช้กฎหมาย) 3.30 3.05 -0.25 7) ด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 4.61 4.63 +0.02 8) ด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน (โจรกรรม ชิงทรัพย์ ทำร้ายร่างกายภัยจราจร การปนเปื้อนในอาหาร และมลพิษ) 3.16 3.30 +0.14 ความเชื่อมั่นด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม (เฉลี่ยรวม) 3.58 3.47 -0.11 9) ด้านการแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น 2.17 1.91 -0.26 10) ด้านการปฎิรูปการเมืองและพัฒนาระบอบประชาธิปไตย (คุณภาพนักการเมือง ระบบเลือกตั้ง และการมีส่วนร่วมของประชาชน ) 3.16 2.80 -0.36 11) ด้านความสามารถในการบริหารประเทศ ของรัฐบาลชุดปัจจุบัน 3.79 3.43 -0.36 12) ด้านความน่าเชื่อถือของข้อมูลข่าวสารที่ได้รับจากหน่วยงานภาครัฐ (ถูกต้อง เป็นกลาง และเป็นประโยชน์) 3.69 3.62 -0.07 ความเชื่อมั่นด้านการเมือง (เฉลี่ยรวม) 3.20 2.94 -0.26 เฉลี่ยรวมทุกด้าน 3.57 3.47 -0.10(-2.8%) ตารางที่ 2 ความเชื่อมั่นของประชาชนต่อศักยภาพประเทศไทย ในอีก 6 เดือนข้างหน้า ความเชื่อมั่นต่อศักยภาพประเทศไทยในอีก 6 เดือนข้างหน้า เชื่อว่าจะดีขึ้น เชื่อว่าจะเหมือนเดิม เชื่อว่าจะแย่ลง (ร้อยละ) (ร้อยละ) (ร้อยละ) 1. ด้านเศรษฐกิจ 26.4 42.9 30.7 2. ด้านการเมือง 23.3 53.5 23.2 3. ด้านสังคม 14.2 37.8 48.0 เฉลี่ยรวมทุกด้าน 21.3 44.7 33.9
รายละเอียดในการสำรวจ
การสำรวจใช้การสุ่มตัวอย่างจากประชาชนทั่วไปทุกสาขาอาชีพที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร และจังหวัดต่างๆ จากทั่วทุกภาคของประเทศ ประกอบด้วย ปทุมธานี นทบุรี สมุทรปราการ เชียงใหม่ ลำปาง ขอนแก่น นครราชศรีมา นครสวรรค์ สระบุรี ชลบุรี นครศรีธรรมราช และตรัง โดยการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-Stage Sampling) ได้กลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 1,427 คน เป็นเพศชายร้อยละ 49.9 และเพศหญิงร้อยละ 50.1
ในการประมาณการขนาดตัวอย่างมีขอบเขตของความคลาดเคลื่อน +/- 3% ที่ระดับความเชื่อมั่น 95%
ใช้การสัมภาษณ์แบบพบตัว (Face-to-face Interview) และการโทรศัพท์สัมภาษณ์ โดยมีเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามที่มีโครงสร้างแน่นอน ด้วยข้อคำถามแบบเลือกตอบ (Check List Nominal) จากนั้นคณะนักวิจัยได้นำแบบสอบถามทุกชุดมาตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ก่อนบันทึกข้อมูลและประมวลผล
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล : 12- 14 กุมภาพันธ์ 2554 วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ : 21 กุมภาพันธ์ 2554
ข้อมูลประชากรศาสตร์
จำนวน ร้อยละ เพศ ชาย 712 49.9 หญิง 715 50.1 รวม 1,427 100.0 อายุ 18 ปี - 25 ปี 344 24.1 26 ปี — 35 ปี 387 27.1 36 ปี — 45 ปี 354 24.8 46 ปีขึ้นไป 342 24.0 รวม 1,427 100.0 การศึกษา ต่ำกว่าปริญญาตรี 881 61.7 ปริญญาตรี 462 32.4 สูงกว่าปริญญาตรี 84 5.9 รวม 1,427 100.0 อาชีพ ข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ 167 11.7 พนักงานบริษัทเอกชน 387 27.1 ค้าขาย / ประกอบอาชีพส่วนตัว/เกษตรการ 404 28.4 รับจ้างทั่วไป 200 14.0 พ่อบ้าน / แม่บ้าน / เกษียณอายุ 89 6.2 อื่นๆ เช่น นิสิตนักศึกษา อาชีพอิสระ ว่างงาน 180 12.6 รวม 1,427 100.0
--ศูนย์วิจัยกรุงเทพโพลล์--