กรุงเทพโพลล์: “กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (Sovereign Wealth Funds)”

ข่าวผลสำรวจ Monday September 12, 2011 09:28 —กรุงเทพโพลล์

นักเศรษฐศาสตร์ 50.7% ไม่เห็นด้วยกับการจัดตั้ง “กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ” ในเวลานี้ ระบุเศรษฐกิจโลกผันผวนเสี่ยงขาดทุน บวกกับระบบการเมืองและระบบราชการไทยมีปัญหา-ผลประโยชน์ทับซ้อน และการทุจริตคอร์รับชัน

เพื่อเป็นเสียงสะท้อนหนึ่งในการรับฟังเสียงรอบด้านให้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในเรื่อง “การจัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ” ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ(กรุงเทพโพลล์) จึงได้ทำการสำรวจความคิดเห็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานด้านการวิเคราะห์ วิจัยเศรษฐกิจระดับชั้นนำของประเทศ 29 แห่ง จำนวน 67 คน โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 6-9 ก.ย. ที่ผ่านมา พบว่า

นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ร้อยละ 52.2 ไม่เห็นด้วยกับการบริหารจัดการทุนสำรองระหว่างประเทศของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในปัจจุบันที่เน้นการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ถึงกระนั้นก็ตาม เมื่อสอบถามความเห็นที่มีต่อการจัดตั้ง “กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ” เพื่อนำไปลงทุนในแหล่งพลังงาน เช่น บ่อน้ำมันในต่างประเทศ นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 53.7 ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าวเช่นกัน แต่เมื่อถามว่าหากมี การจัดตั้ง “กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ” เพื่อนำไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ภายในประเทศ นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 50.8 เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว

สำหรับความเห็นต่อเศรษฐกิจไทยรวมถึงเศรษฐกิจโลกในเวลานี้ว่าเหมาะสมหรือไม่กับการจัดตั้ง “กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ” ร้อยละ 43.3 ตอบว่าไม่เหมาะสม ขณะที่ร้อยละ 32.8 ตอบว่าเหมาะสม

ด้านความเห็นเกี่ยวกับความพร้อมของระบบราชการ/การบริหารงานของภาครัฐ/รวมถึงข้าราชการประจำและข้าราชการการเมืองของประเทศไทยในปัจจุบัน ต่อการจัดตั้ง “กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ” ร้อยละ 68.7 ตอบว่ายังไม่มีความพร้อม มีเพียงร้อยละ 13.4 ที่ตอบว่ามีความพร้อม เมื่อถามต่อถึงความพร้อมด้านบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถหรือเชี่ยวชาญในด้านการบริหารจัดการกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ ร้อยละ 44.8 ตอบว่ามีความพร้อม ขณะที่ร้อยละ 37.3 ตอบว่าไม่มีความพร้อม

สุดท้ายเมื่อสอบถามว่าเห็นด้วยหรือไม่กับการจัดตั้ง “กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ” ในเวลานี้ โดยใช้ทุนสำรองระหว่างประเทศ ในส่วนที่ไม่ใช่เงินของคลังหลวง-เงินหนุนพันธบัตร-ทองคำหลวงตามหาบัว นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 50.7 ตอบว่าไม่เห็นด้วย โดยให้เหตุผลว่า (1) ภาวะเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันมีความผันผวนสูง ทำให้เสี่ยงต่อการขาดทุน (2) ระบบการเมืองและระบบราชการไทยในปัจจุบันยังไม่เอื้อต่อการจัดตั้งกองทุน อีกทั้งยังสุ่มเสี่ยงต่อปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน และการทุจริตคอร์รับชัน ขณะที่ร้อยละ 22.4 ตอบว่าเห็นด้วย โดยให้เหตุผลว่า (1) ควรนำเงินทุนสำรองส่วนเกินมาบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์มากขึ้น (2) การลงทุนอาจอยู่ในรูปของการลงทุนเพื่อสร้างความมั่นคงและลดความเสี่ยงด้านพลังงานหรือน้ำมัน หรืออาจลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ

นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์ ยังได้เสนอแนะประเด็นและข้อคิดเห็นต่างๆ เกี่ยวกับการจัดตั้ง “กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ” ดังนี้

(1) เสนอให้ตั้งคณะทำงานที่เป็นอิสระจากฝ่ายการเมืองจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อทำการศึกษาในประเด็นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาเรื่อง ความจำเป็นในการจัดตั้งกองทุน แหล่งที่มาของเงินลงทุน ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการลงทุน กรอบในการลงทุน ผลตอบแทน และความเสี่ยง เป็นต้น

(2) เงื่อนไขที่สำคัญในการจัดตั้งกองทุน คือ ความพร้อมของฝ่ายการเมืองที่ต้องไม่มีคอร์รับชัน ผลประโยชน์ทับซ้อน และต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับการบริหารจัดการกองทุน อีกทั้งควรมีระบบติดตามตรวจสอบการดำเนินงาน ความโปร่งใส และมีหลักธรรมาภิบาล

(3) แหล่งที่มาของการจัดตั้งกองทุนควรมาจากแหล่งอื่นๆ มากกว่าที่จะมาจากทุนสำรองระหว่างประเทศ เช่น การระดมทุนจากประชาชน เงินกำไรจากรัฐวิสาหกิจ เป็นต้น

(โปรดพิจารณารายละเอียดของผลสำรวจดังต่อไปนี้)

1. ความเห็นต่อการบริหารจัดการทุนสำรองระหว่างประเทศของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในปัจจุบันที่เน้นการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ
เห็นด้วย                                                  ร้อยละ          29.9
ไม่เห็นด้วย                                                ร้อยละ          52.2
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ                                     ร้อยละ          17.9

2.  ความเห็นต่อการจัดตั้ง “กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ”  เพื่อนำไปลงทุนในแหล่งพลังงาน  เช่น  บ่อน้ำมัน  ในต่างประเทศในขณะนี้
เห็นด้วย                                                  ร้อยละ          23.9
ไม่เห็นด้วย                                                ร้อยละ          53.7
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ                                     ร้อยละ          22.4

3.  ความเห็นต่อการจัดตั้ง “กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ” เพื่อนำไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ภายในประเทศในขณะนี้
เห็นด้วย                                                  ร้อยละ          50.8
ไม่เห็นด้วย                                                ร้อยละ          38.8
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ                                     ร้อยละ          10.4

4.  ความเห็นต่อประเด็น  เศรษฐกิจไทยรวมถึงเศรษฐกิจโลกในเวลานี้เหมาะสมหรือไม่กับการจัดตั้ง “กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ”
เหมาะสม                                                 ร้อยละ          32.8
ไม่เหมาะสม                                               ร้อยละ          43.3
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ                                     ร้อยละ          23.9

5.  ความเห็นต่อ ระบบราชการ/การบริหารงานของภาครัฐ/รวมถึงข้าราชการประจำและข้าราชการการเมือง(พิจารณาในแง่ระบบหรือองค์รวม)  ของประเทศไทยในปัจจุบัน มีความพร้อมที่จะจัดตั้ง “กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ”  หรือไม่
มีความพร้อม                                               ร้อยละ          13.4
ยังไม่มีความพร้อม                                           ร้อยละ          68.7
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ                                     ร้อยละ          17.9

6.   ความเห็นต่อ  ความพร้อมของประเทศไทยในปัจจุบันว่ามีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ  หรือเชี่ยวชาญในด้านการบริหารจัดการกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ หรือไม่ (พิจารณาในแง่ศักยภาพเฉพาะบุคคลหรือทีมงานที่เกี่ยวข้อง)
 มีความพร้อม                                              ร้อยละ          44.8
 ยังไม่มีความพร้อม                                          ร้อยละ          37.3
 ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ                                    ร้อยละ          17.9

7.   ความเห็นต่อ การจัดตั้ง “กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ”  ในเวลานี้  โดยใช้ทุนสำรองระหว่างประเทศ ในส่วนที่ไม่ใช่เงินของคลังหลวง-เงินหนุนพันธบัตร-ทองคำหลวงตามหาบัว
เห็นด้วย                                                  ร้อยละ          22.4

โดยให้เหตุผลว่า (ข้อคำถามปลายเปิดให้ผู้ตอบระบุเอง)

(1) ควรนำเงินทุนสำรองส่วนเกินมาบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์มากขึ้น

(2) การลงทุนอาจอยู่ในรูปของการลงทุนเพื่อสร้างความมั่นคงและลดความเสี่ยงด้านพลังงานหรือน้ำมัน หรืออาจลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ

(3) การลงทุนดังกล่าวต้องไม่ใช้เงินของคลังหลวง-เงินหนุนพันธบัตร-ทองคำหลวงตามหาบัว ทั้งนี้ก็เพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ

ไม่เห็นด้วย                                                ร้อยละ          50.7

โดยให้เหตุผลว่า (ข้อคำถามปลายเปิดให้ผู้ตอบระบุเอง)

(1) ภาวะเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันมีความผันผวนสูง และมีโอกาสที่จะเกิดวิกฤติขึ้นอีกครั้ง เสี่ยงต่อการขาดทุนและอาจนำไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจไทยอีกครั้ง ดังนั้น ประเทศไทยควรเน้นรักษาสภาพคล่องไว้ใช้ในยามฉุกเฉินมากกว่านำมาลงทุน

(2) ระบบการเมืองและระบบราชการไทยในปัจจุบันยังไม่เอื้อต่อการจัดตั้งกองทุน อีกทั้งยังสุ่มเสี่ยงต่อปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน และการทุจริตคอร์รับชัน

(3) ทุนสำรองระหว่างประเทศเป็นสินทรัพย์ที่มีเจ้าของหรือเจ้าหนี้ (นักลงทุนต่างชาติ) และเมื่อหักเงินจำนวนนี้ ทุนสำรองที่เป็นของคนไทยเองก็ไม่ได้มีมากมายที่เพียงพอที่จะนำไปลงทุนอย่างคุ้มค่า

ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ                                     ร้อยละ          26.9

8.   ข้อเสนอแนะอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการจัดตั้ง “กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ” ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของความจำเป็นเงื่อนไข  และความพร้อมต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง   (ข้อคำถามปลายเปิดให้ผู้ตอบระบุเอง)

(1) เสนอให้ตั้งคณะทำงานที่เป็นอิสระจากฝ่ายการเมืองจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อทำการศึกษาในประเด็นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาเรื่อง ความจำเป็นในการจัดตั้งกองทุน แหล่งที่มาของเงินลงทุน ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการลงทุน กรอบในการลงทุน ผลตอบแทน และความเสี่ยง เป็นต้น

(2) เงื่อนไขที่สำคัญในการจัดตั้งกองทุน คือ ความพร้อมของฝ่ายการเมืองที่ต้องไม่มีคอร์รับชัน ผลประโยชน์ทับซ้อน และต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับการบริหารจัดการกองทุน อีกทั้งควรมีระบบติดตามตรวจสอบการดำเนินงาน ความโปร่งใส และมีหลักธรรมาภิบาล

(3) แหล่งที่มาของการจัดตั้งกองทุนควรมาจากแหล่งอื่นๆ มากกว่าที่จะมาจากทุนสำรองระหว่างประเทศ เช่น การระดมทุนจากประชาชน เงินกำไรจากรัฐวิสาหกิจ เป็นต้น

รายละเอียดในการสำรวจ วัตถุประสงค์

1. เพื่อสะท้อนความเห็นประเด็นด้านเศรษฐกิจจากผู้ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจโดยตรงไปยังสาธารณชน โดยผ่านช่องทางสื่อมวลชน

2. เพื่อเสนอแนะต่อรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเตรียมการและวางแผนงานอันก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศไทย

กลุ่มตัวอย่าง

เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่สำเร็จการศึกษาทั้งระดับปริญญาตรีและปริญญาโทในสาขาเศรษฐศาสตร์ (กรณีสำเร็จการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์เฉพาะปริญญาตรี หรือปริญญาโท หรือปริญญาเอก อย่างใดอย่างหนึ่ง จะต้องมีประสบการณ์ในการทำงานด้านวิเคราะห์/วิจัย/หรืองานที่เกี่ยวข้องที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถด้านเศรษฐศาสตร์อย่างน้อย 5 ปี) ที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานด้านการวิเคราะห์ วิจัยเศรษฐกิจระดับชั้นนำของประเทศ จำนวน 29 แห่ง ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(TDRI) ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย ธนาคารทหารไทย ธนาคารนครหลวงไทย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ บริษัทหลักทรัพย์เอเชียพลัส บริษัทหลักทรัพย์พัฒนสิน บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคิน บริษัทหลักทรัพย์ไอร่า บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซียไซรัส คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยทักษิณ สำนักวิชาการจัดการมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คณะวิทยาการจัดการมหาวิทยาลัยขอนแก่น คณะวิทยาการจัดการและสารสนเทศศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร สำนักวิชาเศรษฐศาสตร์และนโยบายสาธารณะมหาวิทยาลัย ศรีนครินทร์วิโรฒ และอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์และนักวิจัยประจำศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ

วิธีการรวบรวมข้อมูล

รวบรวมข้อมูลโดยการส่งแบบสอบถามออนไลน์ไปยังนักเศรษฐศาสตร์ในหน่วยงานที่กำหนดภายในระยะเวลาที่กำหนด

ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล           :  6-9 กันยายน 2554

วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ               :  12 กันยายน 2554

ข้อมูลรายละเอียดของกลุ่มตัวอย่าง

                                      จำนวน        ร้อยละ
ประเภทของหน่วยงานที่กลุ่มตัวอย่างทำงานอยู่
           หน่วยงานภาครัฐ                 27          40.3
           หน่วยงานภาคเอกชน              24          35.8
           สถาบันการศึกษา                 16          23.9
          รวม                           67         100.0

เพศ
            ชาย                         31          46.3
            หญิง                         36          53.7
          รวม                           67         100.0

อายุ
            26 ปี — 35 ปี                 29          43.2
            36 ปี — 45 ปี                 19          28.4
            46 ปีขึ้นไป                    19          28.4
          รวม                           67         100.0

การศึกษา
             ปริญญาตรี                     3           4.5
             ปริญญาโท                    53          79.1
             ปริญญาเอก                   11          16.4
          รวม                           67         100.0

ประสบการณ์ทำงานรวม
              1-5  ปี                    16          23.9
              6-10 ปี                    22          32.8
              11-15 ปี                    9          13.4
              16-20 ปี                    4           6.0
              ตั้งแต่ 21 ปีขึ้นไป             16          23.9
          รวม                           67         100.0

--ศูนย์วิจัยกรุงเทพโพลล์--

-พห-

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ