นักเศรษฐศาสตร์ 82.1% เชื่อโครงการรับจำนำข้าวเปลือกจะมีการคอร์รัปชั่นอย่างแน่นอน
86.6% ระบุโรงสี/ไซโล คือ กลุ่มได้รับผลประโยชน์มากที่สุด
74.6% เชื่อผู้บริโภค คือ กลุ่มผู้เสียผลประโยชน์มากที่สุด
59.7% พร้อมยืนยัน โครงการประกันราคา ดีกว่าโครงการรับจำนำ
ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ(กรุงเทพโพลล์) เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานด้านการวิเคราะห์ วิจัยเศรษฐกิจระดับชั้นนำของประเทศ 31 แห่ง จำนวน 67 คน เรื่อง “อนาคตโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี : ใครกำไร ใครขาดทุน?” โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 26 ก.ย. — 3 ต.ค. ที่ผ่านมา พบว่า
นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 50.7 เชื่อว่าราคารับจำนำข้าวเปลือกที่ชาวนาจะได้จะต่ำกว่าราคาที่รัฐบาลประกาศไว้ ขณะที่ร้อยละ 38.8 เชื่อว่าราคารับจำนำที่ชาวนาจะได้จะเท่ากับราคาที่รัฐบาลประกาศไว้ เมื่อสอบถามความเห็นที่มีต่อราคาข้าวสารในตลาดโลกโดยรวม ในปี 2555 จะสูงกว่าราคาที่รัฐบาลจะขายหรือไม่ นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 56.7 เชื่อว่า มีโอกาสน้อย ที่ราคาข้าวสารในตลาดโลกโดยรวมจะสูงกว่าราคาที่รัฐบาลจะขาย ในขณะที่ร้อยละ 19.4 เชื่อว่า ไม่มีโอกาสเลย ที่ราคาข้าวสารในตลาดโลกโดยรวมจะสูงกว่าราคาที่รัฐบาลจะขาย มีเพียงร้อยละ 17.9 ที่เชื่อว่า มีโอกาสมาก ที่ราคาข้าวสารในตลาดโลกโดยรวมจะสูงกว่าราคาที่รัฐบาลจะขาย
ส่วนปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นในโครงการรับจำนำข้าวเปลือก นักเศรษฐศาสตร์มากถึงร้อยละ 82.1 เชื่อว่า จะมีการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างแน่นอน มีเพียงร้อยละ 4.5 เท่านั้นที่เชื่อว่าจะไม่มีการทุจริตคอร์รัปชั่น
สำหรับกลุ่มผู้ได้รับผลประโยชน์มากที่สุด 3 ลำดับแรก ในโครงการรับจำนำข้าวเปลือก คือ โรงสี/ไซโล (ร้อยละ 86.6) นักการเมือง (ร้อยละ 61.2) และ ผู้ส่งออก (ร้อยละ 43.3) ส่วนกลุ่มผู้เสียผลประโยชน์มากที่สุด 3 ลำดับแรก คือ ผู้บริโภค (ร้อยละ 74.6) ชาวนา (ร้อยละ 41.8) รัฐบาล (ร้อยละ 37.3)
ด้านความคิดเห็นที่จะเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในการแก้ปัญหาราคาข้าวด้วยวิธีใดจึงจะดีและมีความเหมาะสมที่สุด นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ ร้อยละ 59.7 เห็นว่า ควรแก้ปัญหาโดยไม่เข้าไปแทรกแซงกลไกราคา แต่ควรใช้การประกันราคาในระดับที่เหมาะสมกับต้นทุน ดังที่ได้ดำเนินมาในโครงการประกันรายได้เกษตรกร ของพรรคประชาธิปัตย์ ขณะที่มีเพียงร้อยละ 17.9 เท่านั้นที่เห็นว่า ควรแก้ปัญหาโดยใช้วิธีการบริหารจัดการอุปทาน (Supply side) ดังที่กำลังดำเนินการอยู่ในโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี
นอกจากนี้นักเศรษฐศาสตร์ยังได้เสนอแนะแนวทางอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการแก้ปัญหาราคาข้าว/โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี คือ
(1) การแก้ปัญหาราคาข้าวต้องมีการบริหารจัดการที่รัดกุมอย่าให้เกิดการทุจริตได้ โดยการรวบรวมสาเหตุที่โครงการรับจำนำข้าวในอดีตขาดทุน แล้วกำหนดมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ เช่น ปัญหาการสวมสิทธิ์เข้าร่วมโครงการ หรือ โรงสีนำข้าวเปลือกจากชาวนาหมุนเวียนเข้าร่วมโครงการ เป็นต้น
(2) ควรใช้เศรษฐกิจพอเพียงเพื่อลดต้นทุนการปลูกข้าว มากกว่าการแทรกแซงราคา พัฒนาผลผลิตต่อไร่ พัฒนาคุณภาพข้าว เป็นต้น
(โปรดพิจารณารายละเอียดของผลสำรวจดังต่อไปนี้)
ร้อยละ 38.8 เชื่อว่า ราคารับจำนำที่ชาวนาจะได้ จะเท่ากับราคาที่รัฐบาลประกาศไว้ ร้อยละ 50.7 เชื่อว่า ราคารับจำนำที่ชาวนาจะได้ จะต่ำกว่าราคาที่ประกาศไว้ ร้อยละ 10.5 ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ 2. ความคิดเห็นที่มีต่อ โอกาสที่ราคาข้าวสาร(milled rice) ในตลาดโลกโดยรวม ในปี 2555 จะสูงกว่าราคาที่รัฐบาลจะขาย (ราคารับจำนำ + ต้นทุนในการสี) ร้อยละ 17.9 เชื่อว่า มีโอกาสมาก ที่ราคาข้าวสารในตลาดโลกโดยรวมจะสูงกว่าราคาที่รัฐบาลจะขาย ร้อยละ 56.7 เชื่อว่า มีโอกาสน้อย ที่ราคาข้าวสารในตลาดโลกโดยรวมจะสูงกว่าราคาที่รัฐบาลจะขาย ร้อยละ 19.4 เชื่อว่า ไม่มีโอกาสเลย ที่ราคาข้าวสารในตลาดโลกโดยรวมจะสูงกว่าราคาที่รัฐบาลจะขาย ร้อยละ 6.0 ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ 3. ความคิดเห็นที่มีต่อ ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นในโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ร้อยละ 82.1 เชื่อว่า จะมีการทุจริตคอร์รัปชั่น อย่างแน่นอน ร้อยละ 4.5 เชื่อว่า จะไม่มีการทุจริตคอร์รัปชั่น อย่างแน่นอน ร้อยละ 13.4 ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ 4. ความคิดเห็นต่อกลุ่มผู้ได้รับผลประโยชน์มากที่สุด 3 ลำดับแรก ในโครงการรับจำนำข้าวเปลือก (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) ร้อยละ 86.6 โรงสี/ไซโล ร้อยละ 61.2 นักการเมือง ร้อยละ 43.3 ผู้ส่งออก ร้อยละ 34.3 ชาวนา ร้อยละ 11.9 รัฐบาล ร้อยละ 6.0 พ่อค้า/แม่ค้า ร้อยละ 3.0 ดิสเคาท์สโตร์ ร้อยละ 1.5 ผู้บริโภค ร้อยละ 6.0 อื่นๆ คือ ชาวนารายใหญ่ ธกส. ร้อยละ 7.5 ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ 5. ความคิดเห็นต่อกลุ่มผู้เสียผลประโยชน์มากที่สุด 3 ลำดับแรก ในโครงการรับจำนำข้าวเปลือก(ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) ร้อยละ 74.6 ผู้บริโภค ร้อยละ 41.8 ชาวนา ร้อยละ 37.3 รัฐบาล ร้อยละ 32.8 ผู้ส่งออก ร้อยละ 13.4 พ่อค้า/แม่ค้า ร้อยละ 3.0 โรงสี/ไซโล ร้อยละ 3.0 นักการเมือง ร้อยละ 3.0 ดิสเคาท์สโตร์ ร้อยละ 16.4 อื่นๆ คือ ชาวนารายย่อย ผู้ส่งออกรายย่อย โรงสีที่ไม่มีเส้นสายทางการเมือง
ประชาชนผู้เสียภาษี และประเทศชาติโดยรวม
ร้อยละ 7.5 ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ 6. ความคิดเห็น เสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในการแก้ปัญหาราคาข้าวด้วยวิธีใดจึงจะดีและมีความเหมาะสมที่สุด ร้อยละ 17.9 เห็นว่า ควรแก้ปัญหาโดยใช้วิธีการบริหารจัดการอุปทาน (Supply side) ดังที่กำลังดำเนินการอยู่ในโครงการ
รับจำนำข้าวเปลือกนาปี
ร้อยละ 59.7 เห็นว่า ควรแก้ปัญหาโดยไม่เข้าไปแทรกแซงกลไกราคา แต่จะใช้การประกันราคาในระดับที่เหมาะสมกับต้นทุน
ดังที่ได้ดำเนินมาในโครงการประกันรายได้เกษตรกร ของพรรคประชาธิปัตย์ โดยให้เหตุผลเพิ่มเติม คือ
(1) ด้วยภาระต้นทุนของรัฐที่ใกล้เคียงกัน แต่การประกันราคาจะทำให้เกษตรกรได้รับผลประโยชน์โดยตรง
และครบถ้วน ต่างจากการรับจำนำข้าวที่ผู้ได้รับผลประโยชน์สูงสุดคือโรงสี
(2) ต้องกำหนดราคาประกันตามต้นทุนของเกษตรกรเพื่อช่วยให้เกษตรกรอยู่ได้ อีกทั้งต้องส่งเสริมการบริหาร
จัดการต้นทุนการผลิตของเกษตรกรอย่างมีประสิทธิภาพ
(3) ควรปรับปรุงระเบียบบางส่วนเพื่อให้ชาวนาที่ไม่มีที่นาของตัวเอง แต่เช่าที่นาของผู้อื่น ได้รับประโยชน์ด้วย
ร้อยละ 14.9 เสนอ วิธีการอื่นๆ คือ
(1) บริหารจัดการทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน โดยนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วย รวมถึงการกำหนด
zoning พื้นที่ปลูกข้าว เพื่อจำกัดปริมาณการผลิตข้าวในแต่ละฤดู
(2) บริหารจัดการต้นทุนการผลิต สร้างระบบชลประทาน พัฒนาคุณภาพข้าวสร้าง economy of scale
(3) บริหารจัดการด้านการตลาด การส่งออก เพื่อยกระดับราคาข้าวส่งออก
(4) ควรเป็นวิธีที่คำนึงถึงปัญหาน้ำท่วม ในกรณีที่ไม่มีข้าวขายควรจะมีเงินชดเชยให้
ร้อยละ 7.5 ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ 7. ข้อเสนอแนะอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการแก้ปัญหาราคาข้าว/โครงการรับจำนำข้าวนาปี
(1) การแก้ปัญหาราคาข้าวต้องมีการบริหารจัดการที่รัดกุมอย่าให้เกิดการทุจริตได้ โดยการรวบรวมสาเหตุที่โครงการรับจำนำข้าวในอดีตขาดทุน แล้วกำหนดมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ เช่น ปัญหาการสวมสิทธิ์เข้าร่วมโครงการ หรือ โรงสีนำข้าวเปลือกจากชาวนาหมุนเวียนเข้าร่วมโครงการ เป็นต้น
(2) ควรใช้เศรษฐกิจพอเพียงเพื่อลดต้นทุนการปลูกข้าวมากกว่าการแทรกแซงราคา พัฒนาผลผลิตต่อไร่ พัฒนาคุณภาพข้าว เป็นต้น
(3) เลือกจังหวะเวลาในการแก้ปัญหา เพราะทั้งโครงการประกันรายได้ และโครงการรับจำนำข้าว ก็มีประโยชน์ที่แตกต่างกันไป รวมถึงควรดูอัตราแลกเปลี่ยนประกอบ เพื่อไม่ให้ผู้ส่งออกและรัฐบาลเสียผลประโยชน์
(4) ควรมีการจดทะเบียนผู้ปลูกข้าวเหมือนผู้ปลูกอ้อย ซึ่งจะทำให้สามารถควบคุมปริมาณผลผลิตได้ รวมถึงควรหาวิธีในการเป็นผู้กำหนดราคาข้าวในตลาดโลก
(5) ต้องยอมรับว่าแนวทางประกันราคาเป็นวิธีที่ดีที่สุดในขณะนี้ ไม่ควรยึดว่าเป็นของต่างพรรคการเมือง
หมายเหตุ: รายงานผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ฉบับนี้ เป็นการสำรวจความเห็นส่วนตัวของ นักเศรษฐศาสตร์ซึ่งมิได้สื่อถึงแนวนโยบายขององค์กรที่นักเศรษฐศาสตร์สังกัดอยู่แต่อย่างใด
รายละเอียดในการสำรวจ
1. เพื่อสะท้อนความเห็นประเด็นด้านเศรษฐกิจจากผู้ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจโดยตรงไปยังสาธารณชน โดยผ่านช่องทางสื่อมวลชน
2. เพื่อเสนอแนะต่อรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเตรียมการและวางแผนงานอันก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศไทย
เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่สำเร็จการศึกษาทั้งระดับปริญญาตรีและปริญญาโทในสาขาเศรษฐศาสตร์ (กรณีสำเร็จการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์เฉพาะปริญญาตรี หรือปริญญาโท หรือปริญญาเอก อย่างใดอย่างหนึ่ง จะต้องมีประสบการณ์ในการทำงานด้านวิเคราะห์/วิจัย/หรืองานที่เกี่ยวข้องที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถด้านเศรษฐศาสตร์อย่างน้อย 5 ปี) ที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานด้านการวิเคราะห์ วิจัยเศรษฐกิจระดับชั้นนำของประเทศ จำนวน 31 แห่ง ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(TDRI) มูลนิธิสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารนครหลวงไทย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย ธนาคารทหารไทย บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ บริษัทหลักทรัพย์เอเชีพลัส บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคิน บริษัทหลักทรัพย์ภัทร บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส บริษัททริสเรตติ้ง คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยทักษิณ สำนักวิชาการจัดการมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คณะวิทยาการจัดการมหาวิทยาลัยขอนแก่น คณะวิทยาการจัดการและสารสนเทศศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สำนักวิชาเศรษฐศาสตร์และนโยบายสาธารณะมหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ และอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์และนักวิจัยประจำศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ
รวบรวมข้อมูลโดยการส่งแบบสอบถามออนไลน์ไปยังนักเศรษฐศาสตร์ในหน่วยงานที่กำหนดภายในระยะเวลาที่กำหนด
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล : 26 กันยายน - 3 ตุลาคม 2554 วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ : 5 ตุลาคม 2554
ข้อมูลรายละเอียดของกลุ่มตัวอย่าง
จำนวน ร้อยละ ประเภทของหน่วยงานที่กลุ่มตัวอย่างทำงานอยู่
หน่วยงานภาครัฐ 27 40.3 หน่วยงานภาคเอกชน 25 37.3 สถาบันการศึกษา 15 22.4 รวม 67 100.0 เพศ ชาย 36 53.7 หญิง 31 46.3 รวม 67 100.0 อายุ 26 ปี — 35 ปี 27 40.3 36 ปี — 45 ปี 18 26.9 46 ปีขึ้นไป 22 32.8 รวม 67 100.0 การศึกษา ปริญญาตรี 4 6.0 ปริญญาโท 49 73.1 ปริญญาเอก 14 20.9 รวม 67 100.0 ประสบการณ์ทำงานรวม 1-5 ปี 14 20.9 6-10 ปี 19 28.4 11-15 ปี 7 10.4 16-20 ปี 8 11.9 ตั้งแต่ 21 ปีขึ้นไป 19 28.4 รวม 67 100.0
--ศูนย์วิจัยกรุงเทพโพลล์--