ประชาชนถึงร้อยละ 53.2 ระบุมีรายรับไม่พอกับค่าใช้จ่าย และร้อยละ 61.3 ไม่เชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะสามารถแก้ปัญหาค่าครองชีพที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้
ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) เผยผลสำรวจเรื่อง “เสียงสะท้อนจากประชาชนเรื่องค่าครองชีพในปัจจุบัน” โดยเก็บข้อมูลจากประชาชนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 1,203 คน พบว่า ประชาชน ร้อยละ 76.1 ระบุว่าราคาสินค้าในปัจจุบันมีผลกระทบต่อการครองชีพของตัวเองและครอบครัว ขณะที่ร้อยละ 23.9 ระบุว่าไม่มีผลกระทบ โดยร้อยละ 53.2 ระบุว่า มีรายรับไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย และต้องแก้ปัญหาด้วยการนำเงินออมออกมาใช้ร้อยละ 22.3 ต้องกู้เงินหรือหยิบยืมเงินจากคนอื่นร้อยละ 16.4 ที่เหลือร้อยละ 14.5 แก้ปัญหาด้วยการพยายามหารายได้เสริมและเพิ่มชั่วโมงทำงาน (OT)
สำหรับวิธีรับมือกับราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้น อันดับแรกคือ ประหยัดให้มากขึ้นร้อยละ 35.5 รองลงมาคือ ซื้อของเท่าที่จำเป็นร้อยละ 23.2 และใช้จ่ายให้น้อยลงโดยลดปริมาณหรือลดจำนวนในการซื้อลงจากปกติ ร้อยละ 16.2
ส่วนสาเหตุหลักที่ทำให้ราคาสินค้าเริ่มปรับตัวสูงขึ้นในปัจจุบัน คือราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 36.9 รองลงมาคือ รัฐบาลไม่มีการกำหนดนโยบายและควบคุมราคาสินค้าที่ชัดเจนร้อยละ 14.5 และต้นทุนสินค้าสูงขึ้นร้อยละ 14.0
ทั้งนี้ประชาชนร้อยละ 50.1 ระบุว่ารัฐบาล นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เอาใจใส่กับการแก้ปัญหาค่าครองชีพในปัจจุบัน ขณะที่ร้อยละ 49.9 ระบุว่าไม่เอาใจใส่ เมื่อถามถึงความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลในการแก้ปัญหาค่าครองชีพที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ร้อยละ 61.3 ระบุว่า “ไม่เชื่อมั่น” มีเพียงร้อยละ 38.7 ที่ระบุว่า “เชื่อมั่น”
สำหรับเรื่องที่ประชาชนต้องการเสนอแนะรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาค่าครองชีพมากที่สุด คือ ให้ควบคุมราคาสินค้าอุปโภคบริโภคไม่ให้สูงไปกว่านี้ร้อยละ 29.3 รองลงมาคือให้นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่มาดูปัญหาด้วยตนเอง ใส่ใจดูแลเรื่องปากท้องของประชาชนให้มากกว่านี้ ร้อยละ 17.3 และเพิ่มเงินเดือนและค่าแรงขั้นต่ำโดยเร็วให้ทั่วถึงกันทั้งราชการและภาคเอกชน ร้อยละ 15.8
ดังรายละเอียดต่อไปนี้ 1. ความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับผลกระทบต่อการครองชีพของตัวเองและครอบครัวที่เกิดจากราคา สินค้าในปัจจุบัน
- ได้รับผลกระทบ ร้อยละ 76.1
(โดยระบุว่า ของแพงเกินไป สินค้าขึ้นราคาแต่รายได้เท่าเดิม ได้ของเท่าเดิมแต่ต้องจ่ายเงินมากขึ้น ฯลฯ )
- ไม่ได้รับผลกระทบ ร้อยละ 23.9 2. ความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับรายรับและค่าใช้จ่ายในปัจจุบัน - มีรายรับเพียงพอกับค่าใช้จ่าย ร้อยละ 46.8 - มีรายรับไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย ร้อยละ 53.2
โดยระบุว่าแก้ปัญหาด้วยการ
นำเงินออมออกมาใช้ ร้อยละ 22.3 กู้ หรือ หยิบยืม ร้อยละ 16.4 อื่นๆ อาทิ พยายามหารายได้เสริม เพิ่มชั่วโมงทำงาน ฯลฯ ร้อยละ 14.5 3. วิธีรับมือกับราคาสินค้า ที่ปรับตัวสูงขึ้น ของประชาชน 5 อันดับแรก คือ (เป็นคำถามปลายเปิดให้ผู้ตอบเป็นผู้ระบุเอง) - ประหยัดให้มากขึ้น ร้อยละ 35.5 - ซื้อของเท่าที่จำเป็น ซื้ออย่างมีเหตุผล ร้อยละ 23.2 - ใช้จ่ายน้อยลงโดยลดปริมาณหรือลดจำนวนในการซื้อลงจากปกติ ร้อยละ 16.2
- เลือกซื้อสินค้าประเภทเดียวกันหรือสินค้าที่ใช้ทดแทนกันได้ในราคาที่ถูกกว่า ร้อยละ 5.1
- ต้องทำงานหาเงินเพิ่ม หารายได้เสริม ร้อยละ 4.4 4. สาเหตุหลักที่ทำให้ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้นในปัจจุบัน คือ - ราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้น(น้ำมันเชื้อเพลิง, แก๊ส) ร้อยละ 36.9 - รัฐบาลไม่มีการกำหนดนโยบาย/ ควบคุมราคาสินค้าที่ชัดเจน ร้อยละ 14.5 - ต้นทุนสินค้ามีราคาสูงขึ้น ร้อยละ 14.0
- การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท และเงินเดือนป.ตรี 15,000 บาท ร้อยละ 12.5
- การบริหารงานอย่างผิดพลาดของรัฐบาล ร้อยละ 6.7 - การกักตุนสินค้า เพื่อรอความชัดเจนของรัฐบาล ร้อยละ 6.6 - เหตุการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย ร้อยละ 5.8 - อื่นๆ อาทิ การผูกขาดตลาด วิวัฒนาการด้านการผลิตสินค้า ฯลฯ ร้อยละ 3.0 5. เมื่อเปรียบเทียบความสามารถในการบริหารจัดการเรื่องค่าครองชีพระหว่าง รัฐบาลนายกฯยิ่งลักษณ์ ชิณวัตร กับรัฐบาล นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ - สามารถบริหาร/จัดการค่าครองชีพได้ดีพอๆกัน ร้อยละ 28.3 - รัฐบาล นายกฯ ยิ่งลักษณ์ทำได้ดีกว่า ร้อยละ 27.5 - สามารถบริหาร/จัดการค่าครองชีพไม่ดีทั้ง 2 รัฐบาล ร้อยละ 26.0 - รัฐบาลนายกฯ อภิสิทธิ์ ทำได้ดีกว่า ร้อยละ 18.2 6. ความคิดเห็นต่อความเอาใจใส่กับการแก้ปัญหาค่าครองชีพ ของรัฐบาล นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร - เอาใจใส่ ร้อยละ 50.1
(โดยระบุว่า เอาใจใส่ค่อนข้างมาก ร้อยละ 43.0 และเอาใจใส่มากที่สุด ร้อยละ 7.1)
-ไม่เอาใจใส่ ร้อยละ 49.9
(โดยระบุว่า เอาใจใส่ค่อนข้างน้อย ร้อยละ 39.8 และไม่เอาใจใส่เลย ร้อยละ 10.1)
- เชื่อมั่น ร้อยละ 38.7
(โดยระบุว่า เชื่อมั่นค่อนข้างมาก ร้อยละ 30.8 และเชื่อมั่นมากที่สุด ร้อยละ 7.9)
-ไม่เชื่อมั่น ร้อยละ 61.3
(โดยระบุว่า เชื่อมั่นค่อนข้างน้อย ร้อยละ 41.5 และไม่เชื่อมั่นเลย ร้อยละ 19.8)
- ให้ควบคุมราคาสินค้าอุปโภคบริโภคไม่ให้สูงไปกว่านี้ และควบคุมราคา
ให้เหมาะสมยุติธรรมกับประชาชน ร้อยละ 29.3
- ให้นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่มาดูปัญหาด้วยตนเอง ใส่ใจดูแลเรื่องปากท้อง
ของประชาชน ให้มากกว่านี้ ร้อยละ 17.3
- เพิ่มเงินเดือนและค่าแรงขั้นต่ำโดยเร็วให้ทั่วถึงกันทั้งราชการและภาคเอกชน ร้อยละ 15.8
- ควบคุมราคาเชื้อเพลิง และพลังงาน ให้ถูกลงกว่านี้ ร้อยละ 14.8 - ปรับราคาสินค้าต่างๆ ให้ถูกลง ร้อยละ 11.0
รายละเอียดในการสำรวจ
เพื่อสอบถามความคิดเห็นของประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ในประเด็นเกี่ยวกับผลกระทบจากราคาสินค้าต่อค่าครองชีพของประชาชนในปัจจุบัน วิธีการปรับตัวในช่วงที่ราคาสินค้ามีทิศทางสูงขึ้น ตลอดจนความเอาใจใส่และความเชื่อมั่นที่มีต่อรัฐบาลในการแก้ปัญหาค่าครองชีพในปัจจุบัน ทั้งนี้เพื่อสะท้อนมุมมองความคิดเห็นของประชาชนให้สังคมและผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ และนำไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาประเทศต่อไป
การสำรวจใช้การสุ่มตัวอย่างจากประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป ที่อาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-Stage Sampling) โดยสุ่มจากเขตการปกครองทั้งเขตชั้นใน ชั้นกลาง และชั้นนอก ได้แก่ เขตคลองเตย คันนายาว ดินแดง ดุสิต ตลิ่งชัน ทวีวัฒนา ทุ่งครุ บางกอกน้อย บางกะปิ บางคอแหลม บางซื่อ บางบอน บางพลัด บางรัก บึ่งกุ่ม ปทุมวัน ประเวศ พญาไท พระโขนง พระนครภาษีเจริญ มีนบุรี ราชเทวี ลาดพร้าว สวนหลวง สาทร และปริมณฑลได้แก่ นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ จากนั้นจึงสุ่มถนน และประชากรเป้าหมายที่จะสัมภาษณ์อย่างเป็นระบบ ได้กลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 1,203 คน เป็นเพศชายร้อยละ 49.5 และเพศหญิงร้อยละ 50.5
ในการประมาณการขนาดตัวอย่างมีขอบเขตของความคลาดเคลื่อน ? 3% ที่ระดับความเชื่อมั่น 95%
ใช้การสัมภาษณ์แบบพบตัว (Face-to-face Interview) โดยเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามที่มีโครงสร้างแน่นอน ประกอบด้วยข้อคำถามแบบเลือกตอบ (Check List Nominal) และคำถามปลายเปิดให้ผู้ตอบระบุคำตอบเองโดยอิสระ (Open Form) และได้นำแบบสอบถามทุกชุดมาตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ก่อนบันทึกข้อมูลและประมวลผล
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล : 20 - 22 มีนาคม 2555
วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ : 23 มีนาคม 2555
ข้อมูลประชากรศาสตร์ของกลุ่มตัวอย่าง
จำนวน (คน) ร้อยละ เพศ
ชาย 596 49.5 หญิง 607 50.5 รวม 1,203 100.0 อายุ 18 - 25 ปี 298 24.8 26 - 35 ปี 318 26.4 36 - 45 ปี 287 23.9 46 ปีขึ้นไป 300 24.9 รวม 1,203 100.0 การศึกษา ต่ำกว่าปริญญาตรี 812 67.5 ปริญญาตรี 354 29.4 สูงกว่าปริญญาตรี 37 3.1 รวม 1,203 100.0 อาชีพ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสากิจ 113 9.4 พนักงาน ลูกจ้าง บริษัทเอกชน 325 27.0 ค้าขาย ประกอบอาชีพส่วนตัว 344 28.6 รับจ้างทั่วไป 194 16.1 พ่อบ้าน แม่บ้าน เกษียณอายุ 78 6.5 อื่นๆ เช่น นักศึกษา อาชีพอิสระ ว่างงาน ฯลฯ 149 12.4 รวม 1,203 100.0
--ศูนย์วิจัยกรุงเทพโพลล์--