ประชาชนร้อยละ 68.8 ระบุว่าการนิรโทษกรรม ไม่สามารถสร้างความปรองดองได้ โดยแนะให้นักการเมืองเลิกนึกถึงผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้อง และเลิกทะเลาะกันทั้งในและนอกสภาฯ ประเทศจึงจะเกิดความปรองดองและกลับมารักกันเหมือนเดิมได้
ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) เผยผลสำรวจความคิดเห็นของผู้ที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑลที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 1,180 คน พบว่า
ประชาชนร้อยละ 37.7 ระบุว่ายังไม่เห็นบรรยากาศความปรองดองเกิดขึ้นในประเทศ ในขณะที่ร้อยละ 28.5 ระบุว่าเริ่มเห็นบรรยากาศความปรองดองเกิดขึ้นแล้ว ส่วนร้อยละ 33.8 ระบุว่าไม่แน่ใจ
ทั้งนี้สิ่งที่จะทำให้ประเทศไทยเกิดความปรองดอง คือ นักการเมืองต้องเลิกนึกถึงผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้อง ร้อยละ 26.7 รองลงมาคือ นักการเมืองต้องหันหน้าเข้าหากันเลิกทะเลาะกันทั้งในและนอกสภาฯ ร้อยละ 26.5 และคนไทยต้องเคารพและยึดกฎหมายของประเทศเป็นหลัก ร้อยละ 10.9
เมื่อถามถึงการนิรโทษกรรมผู้กระทำผิดทางการเมืองว่าจะสามารถสร้างความปรองดองได้หรือไม่ประชาชนร้อยละ 68.8 ระบุว่าไม่สามารถสร้างความปรองดองได้ (โดยให้เหตุผลว่า เป็นคนละเรื่องกัน ไม่ใช่ทางแก้ปัญหา อคติยังคงมีอยู่ทุกฝ่าย แต่ละฝ่ายไม่ยอมกัน ผู้กระทำผิดต้องได้รับโทษ และเป็นเรื่องของจิตใต้สำนึกของคนในชาติ เป็นต้น) ในขณะที่ร้อยละ 31.2 ระบุว่า สามารถสร้างความปรองดองได้ (โดยให้เหตุผลว่า เป็นการให้อภัยกัน เรื่องคงจบ เป็นการเริ่มต้นใหม่โดยหันหน้ามาคุยกัน ให้โอกาสแก่ผู้ทำผิดได้กลับตัว เป็นต้น )
ส่วนความคิดเห็นที่มีต่อการออก พรบ.ปรองดอง ว่ามีความจำเป็นต่อสังคมไทยเพียงใด พบว่า ประชาชนระบุว่าค่อนข้างจำเป็น ร้อยละ 35.4 และจำเป็นมาก ร้อยละ 24.9 ในขณะที่ระบุว่าไม่ค่อยจำเป็น ร้อยละ 19.3 และไม่จำเป็นเลย ร้อยละ 20.4 อย่างไรก็ตาม ประชาชน ร้อยละ 51.5 ระบุว่ารัฐบาลยังไม่มีการสร้างความเข้าใจและรายละเอียดให้ชัดเจนถึงเหตุผล ความจำเป็น และกระบวนการในการออก พรบ.ปรองดอง ร้อยละ 40.4 ระบุว่า เข้าใจแต่ยังไม่ชัดเจน มีเพียงร้อยละ 8.1 ที่ระบุว่าเข้าใจชัดเจนแล้ว
สำหรับความกังวลที่มีต่อการออก พรบ. ความปรองดอง ว่าจะเป็นชนวนให้เกิดความขัดแย้งขึ้นอีกนั้นประชาชนร้อยละ 42.1 ระบุว่า ค่อนข้างกังวล และร้อยละ 17.4 กังวลมาก ในขณะที่ ร้อยละ 26.1 ระบุว่าไม่ค่อยกังวล และร้อยละ 14.4 ระบุว่าไม่กังวลเลย
ดังรายละเอียดต่อไปนี้
- ยังไม่เห็นบรรยากาศความปรองดองเกิดขึ้นเลย ร้อยละ 37.7 - เริ่มเห็นบรรยากาศความปรองดองเกิดขึ้นแล้ว ร้อยละ 28.5 - ไม่แน่ใจ ร้อยละ 33.8 2. สิ่งที่จะทำให้ประเทศไทยเกิดความปรองดองและกลับมารักกันเหมือนเดิมมากที่สุด 5 อันดับแรก คือ - นักการเมืองเลิกนึกถึงผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้อง ร้อยละ 26.7 - นักการเมืองต้องหันหน้าเข้าหากัน เลิกทะเลาะกันทั้งในและนอกสภาฯ ร้อยละ 26.5 - คนไทยต้องเคารพและยึดกฎหมายของประเทศเป็นหลัก ร้อยละ 10.9 - คนไทยต้องรู้จักการให้อภัยต่อกันในสังคม ร้อยละ 10.7 - คนไทยต้องยอมรับความจริงและอยู่บนพื้นฐานของเหตุผล ร้อยละ 6.1 3. เมื่อถามถึงการนิรโทษกรรมผู้กระทำผิดทางการเมืองว่าจะสามารถสร้างความปรองดองได้หรือไม่ พบว่า - ได้ ร้อยละ 31.2
(โดยให้เหตุผลว่า เป็นการให้อภัยกัน เรื่องคงจบ เป็นการเริ่มต้นใหม่หันหน้ามาคุยกัน ให้โอกาสแก่ผู้ทำผิดได้กลับตัวฯลฯ )
- ไม่ได้ ร้อยละ 68.8
(โดยให้เหตุผลว่า เป็นคนละเรื่องกัน ไม่ใช่ทางแก้ปัญหา มีแต่คนใช้อำนาจ อคติยังคงมีอยู่ทุกฝ่าย
แต่ละฝ่ายไม่ยอมกัน ผู้กระทำผิดต้องได้รับโทษ เป็นเรื่องของจิตใต้สำนึกของคนในชาติ ฯลฯ)
- จำเป็น ร้อยละ 24.9 - ค่อนข้างจำเป็น ร้อยละ 35.4 - ไม่ค่อยจำเป็น ร้อยละ 19.3 - ไม่จำเป็นเลย ร้อยละ 20.4 5. ความคิดเห็นต่อการแสดงให้เห็นถึง เหตุผล ความจำเป็น และกระบวนการในการออก พรบ.ปรองดองให้ประชาชนเข้าใจและชัดเจนจากรัฐบาล คือ - เข้าใจชัดเจนแล้ว ร้อยละ 8.1 - เข้าใจแต่ยังไม่ชัดเจน ร้อยละ 40.4 - ยังไม่มีการสร้างความเข้าใจและรายละเอียดให้ชัดเจนเลย ร้อยละ 51.5 6. ความกังวลที่มีต่อการออก พรบ. ความปรองดอง ว่าจะเป็นชนวนให้เกิดความขัดแย้งขึ้นอีก คือ - กังวลมาก ร้อยละ 17.4 - ค่อนข้างกังวล ร้อยละ 42.1 - ไม่ค่อยกังวล ร้อยละ 26.1 - ไม่กังวลเลย ร้อยละ 14.4
รายละเอียดในการสำรวจ
เพื่อสอบถามความคิดเห็นของประชาชนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เกี่ยวกับบรรยากาศความปรองดองในประเทศไทย ปัจจัยที่จะทำให้เกิดความปรองดองขึ้นในประเทศ รวมถึงความชัดเจนของกระบวนการและแนวทางการสร้างความปรองดองของรัฐบาล ตลอดจนความกังวลหากมีการประกาศใช้ พรบ. ความปรองดอง ทั้งนี้เพื่อสะท้อนมุมมองความคิดเห็นของประชาชนให้สังคมและผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ และนำไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาประเทศต่อไป
การสำรวจใช้การสุ่มตัวอย่างจากประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-Stage Sampling) โดยสุ่มจากเขตการปกครองทั้งเขตชั้นใน ชั้นกลาง และชั้นนอก ได้แก่เขตคลองเตย คลองสามวา ดินแดง ดุสิต ตลิ่งชัน ทวีวัฒนา ทุ่งครุ บางกอกน้อย บางกะปื บางเขน บางคอแหลม บางซื่อ บางนา บางบอน บางพลัด บึงกุ่ม ปทุมวัน ประเวศ ป้อมปราบฯ พญาไท พรนคร ภาษีเจริญ มีนบุรี ราชเทวี สวนหลวง สะพานสูงและปริมณฑล ได้แก่ นนทบุรี ปทุมธานีและสมุทรปราการ จากนั้นจึงสุ่มถนน และประชากรเป้าหมายที่จะสัมภาษณ์อย่างเป็นระบบ ได้กลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 1,180 คน เป็นเพศชายร้อยละ 50.5 และเพศหญิงร้อยละ 49.5
ในการประมาณการขนาดตัวอย่างมีขอบเขตของความคลาดเคลื่อน ? 3% ที่ระดับความเชื่อมั่น 95%
ใช้การสัมภาษณ์แบบพบตัว (Face-to-face Interview) โดยเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามที่มีโครงสร้างแน่นอน ประกอบด้วยข้อคำถามแบบเลือกตอบ (Check List Nominal) และคำถามปลายเปิดให้ผู้ตอบระบุคำตอบเองโดยอิสระ (Open Form) และได้นำแบบสอบถามทุกชุดมาตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ก่อนบันทึกข้อมูลและประมวลผล
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล : 26 - 30 เมษายน 2555 วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ : 4 พฤษภาคม 2555
ข้อมูลประชากรศาสตร์ของกลุ่มตัวอย่าง
จำนวน (คน) ร้อยละ เพศ
ชาย 596 50.5 หญิง 584 49.5 รวม 1,180 100.0 อายุ 18 - 25 ปี 286 24.2 26 - 35 ปี 306 25.9 36 - 45 ปี 287 24.3 46 ปีขึ้นไป 301 25.6 รวม 1,180 100.0 การศึกษา ต่ำกว่าปริญญาตรี 718 60.8 ปริญญาตรี 415 35.2 สูงกว่าปริญญาตรี 47 4.0 รวม 1,180 100.0 อาชีพ ข้าราชการ / พนักงานรัฐวิสาหกิจ 140 11.9 พนักงาน / ลูกจ้าง บริษัทเอกชน 348 29.5 ค้าขาย / ประกอบอาชีพส่วนตัว 325 27.5 รับจ้างทั่วไป 141 11.9 พ่อบ้าน แม่บ้าน เกษียณอายุ 80 6.8 อื่นๆ อาทิ นักศึกษา อาชีพอิสระ ว่างงาน เป็นต้น 146 12.4 รวม 1,180 100.0
--ศูนย์วิจัยกรุงเทพโพลล์--