กรุงเทพโพลล์: วิกฤติหนี้กรีซกับมุมมองนักเศรษฐศาสตร์ไทย

ข่าวผลสำรวจ Friday June 1, 2012 09:44 —กรุงเทพโพลล์

นักเศรษฐศาสตร์เชื่อหากกรีซออกจาก EURO Zone จะช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้เร็วกว่าการยืนหยัดอยู่กับ EURO Zone แต่ท้ายที่สุดแล้วนักเศรษฐศาสตร์ 40% คาดกรีซจะเลือกแนวทางยืนหยัดที่จะอยู่กับ EURO Zone ต่อไป

ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์จากองค์กรชั้นนำ 32 แห่ง จำนวน 70 คน เรื่อง “วิกฤติหนี้กรีซกับมุมมองนักเศรษฐศาสตร์ไทย” โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 23 — 30 พ.ค. 2555 ที่ผ่านมา พบว่า

          นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 40.0 คาดว่ารัฐบาลใหม่ของกรีซจะเลือกแนวทางยืนหยัดที่จะอยู่กับ         EURO Zone ต่อไป  ขณะที่ร้อยละ 32.9 เชื่อว่ากรีซจะประกาศออกจาก EURO Zone และเลิกใช้เงิน EURO ซึ่งหมายความว่า หลังจากนี้กรีซก็จะมีค่าเงินเป็นของตนเองและจะสามารถลดค่าเงินของตนได้ ทำให้สามารถกระตุ้นภาคการส่งออกและท่องเที่ยว ทำให้คนมีงานทำ และสามารถออกจากวิกฤติได้ในที่สุด  เมื่อถามต่อว่าทั้งสองแนวทางข้างต้นดังกล่าว แนวทางใดจะใช้ระยะเวลาน้อยกว่ากันในการที่จะทำให้เศรษฐกิจมีการปรับตัวดีขึ้น  ผลสำรวจพบว่าร้อยละ 38.6 เชื่อว่าแนวทางการออกจาก EURO Zone จะใช้ระยะเวลาที่น้อยกว่าแนวทางการยืนหยัดอยู่กับ EURO Zone และใช้เงิน EURO ต่อไป  โดยมีนักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 50.0 เชื่อว่าหากกรีซอยู่กับ EURO Zone กรีซต้องใช้เวลามากกว่า 5 ปีกว่าที่เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะปกติ  แต่หากอออกจาก EURO Zone และเลิกใช้เงิน EURO นักเศรษฐศาสตร์ที่เชื่อว่าจะใช้เวลามากกว่า 5  ปีเช่นกันจะลดลงเหลือ  ร้อยละ 31.4

อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 42.9 เห็นว่าเงื่อนไขของ EU และ IMF ที่ให้กรีซรัดเข็มขัดเพื่อแลกกับเงินกู้ เป็นการดำเนินการที่ถูกทางแล้ว โดยให้เหตุผลว่า การสร้างวินัยทางการคลังเป็นสิ่งที่จำเป็นในการแก้วิกฤติเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินกู้ และมีรายจ่ายที่เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจโดยเฉพาะในช่วงเริ่มแรก แต่หลังจากนั้นควรมีการผ่อนปรนตามความเหมาะสมเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและจะต้องเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนี้นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 67.1 เชื่อว่าปัญหาของกรีซจะลุกลามไปยังประเทศอื่นๆ ในยุโรปและทำให้เศรษฐกิจโลกทรุดลงหรือแย่กว่าปัจจุบันอย่างมีนัยสำคัญ

สำหรับความคิดเห็นที่มีต่อแนวคิดการมีเงินตราที่เป็นสกุลของภูมิภาคอาเซียนเหมือนกับเงิน EURO ของกลุ่ม EURO Zone พบว่า นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 71.4 ไม่เห็นด้วย โดยให้เหตุผลที่สำคัญว่า ประเทศต่างๆ ในอาเซียนมีขนาดเศรษฐกิจ และมีความสามารถในการแข่งขันที่แตกต่างกันซึ่งการใช้เงินสกุลเดียวกันเหมือนเงิน EORO อาเซียนจะต้องประสบปัญหาเช่นกันอย่างแน่นอน นอกจากนี้การมีเงินตราของอาเซียนจะทำให้ประเทศสูญเสียเครื่องมือทางการเงินในการแก้ปัญหาในอนาคต ขาดความเป็นอิสระในการดำเนินนโยบายการเงิน อีกทั้ง อาเซียนไม่มีประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่เพียงพอที่จะช่วยดูแลในกรณีที่เกิดวิกฤติ

สำหรับความเห็นที่มีต่อผลกระทบเศรษฐกิจไทยจากปัญหาของกรีซและยุโรปทั้งทางตรงและทางอ้อม ร้อยละ 57.1 เชื่อว่าได้รับผลกระทบในระดับ “ปานกลาง” รองลงมาร้อยละ 21.4 เชื่อว่าจะได้รับผลกระทบในระดับ “น้อย” ด้านความเห็นเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยมีความยืดหยุ่นจากปัญหาเศรษฐกิจโลกมากน้อยเพียงใด ร้อยละ 58.6 เชื่อว่ามีความยืดหยุ่นอยู่ในระดับ “ปานกลาง” รองลงมาร้อยละ 21.4 มีความยืดหยุ่นอยู่ในระดับ “มาก”

ส่วนความเห็นต่อการพิจารณา พ.ร.บ.งบประมาณ ปี 2556 นักเศรษฐศาสตร์เสนอให้รัฐบาลมีการพิจารณางบประมาณโดยใช้แนวทาง ดังนี้

1. ควรพิจารณางบประมาณโดยเน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การปรับปรุงศึกษาอย่างเป็นรูปธรรม และการวิจัยและพัฒนา (R&D) ที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนี้ ควรมีการจัดลำดับความสำคัญของโครงการ และใช้งบประมาณให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด

2. ควรลดโครงการประชานิยม รักษาวินัยทางการคลังอย่างเคร่งครัด รวมถึงดูแลกำกับและติดตามการใช้งบประมาณอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้หากไม่มีการดำเนินการดังกล่าวอาจเป็นเหตุให้นำไปสู่ปัญหาหนี้สาธารณะในภายหลังอย่างที่ประเทศกรีซกำลังเผชิญอยู่

3. ควรพิจารณางบประมาณโดยเน้นความชัดเจน โปร่งใส ไม่มีการทุจริตคอร์รัปชั่น ไม่ใช้ผลประโยชน์เพื่อการต่อรอง

(โปรดพิจารณารายละเอียดของผลสำรวจดังต่อไปนี้)

1. ความเห็นต่อประเด็น รัฐบาลใหม่ของกรีซจะเลือกแนวทางใดในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาหนี้สินที่กำลังเผชิญอยู่ (คำถามข้อนี้ออกแบบขึ้นโดยใช้บทวิเคราะห์ของ ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล)

ร้อยละ 40.0 แนวทางแรก คือ ยืนหยัดที่จะอยู่กับกลุ่ม EURO Zone ต่อไป ซึ่งหมายความว่า

จะต้องตัดสินใจทำตามที่ทางสหภาพยุโรปและกองทุนการเงินระหว่างประเทศกำหนดไว้

รัดเข็มขัดต่อไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพื่อให้ได้เงินมาคืนหนี้ที่ตนเองไปกู้มาใช้อย่างเกินตัว

และปฏิรูปโครงสร้างของเศรษฐกิจให้สามารถแข่งขันได้ อีกครั้ง

ร้อยละ 32.9 แนวทางที่สอง คือ ประกาศออกจาก EURO Zone (เลิกใช้เงิน EURO) ซึ่งหมายความว่า

หลังจากนี้กรีซก็จะมีค่าเงินเป็นของตนเอง และจะสามารถลดค่าเงินของตนได้ ทำให้สามารถ

กระตุ้นภาคการส่งออกและท่องเที่ยว ทำให้คนมีงานทำ และสามารถออกจากวิกฤติได้ในที่สุด

ร้อยละ 14.3 แนวทางอื่นๆ ในจำนวนนี้ ร้อยละ 12.9 เห็นด้วยกับแนวทางแรกเช่นกันคืออยู่กับ EURO Zone ต่อไป

แต่ต้องขอให้ทาง EU รวมถึง IMF มีการผ่อนปรนมาตรการรัดเข็มขัดให้มากขึ้นเพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจ

สามารถขยายตัวได้ ขณะที่มีเพียงร้อยละ 1.4 เห็นด้วยกับแนวทางที่สอง แต่มีเงื่อนไขเพิ่มเติมว่า

ให้ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ซื้อพันธบัตรอย่างไม่มีขีดจำกัดเพื่อเป็นการดึงผลตอบแทน (yield) ลงมา

ซึ่งปัจจุบันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสเปนอายุ 10 ปี สูงถึง 6.3% ขณะที่พันธบัตรอายุ 10 ปี

ของรัฐบาลอิตาลี สูงประมาณ 5.9% รวมทั้งให้ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ อาทิ ธนาคารกลางสหรัฐ

(Fed) ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ทำสวอป (SWAP) อัตราแลกเปลี่ยนเพื่อป้องกันปัญหาความผันผวนของค่าเงิน

ร้อยละ 12.8 ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ

2. ความเห็นต่อประเด็น แนวทางดังที่กล่าวในข้อข้างต้นแต่ละแนวทางจะใช้ระยะเวลายาวนานเพียงใดกว่าเศรษฐกิจของกรีซจะเข้าสู่ภาวะปลอดภัย
 แนวทางอยู่กับ EURO Zone ต่อไป      แนวทางออกจาก EURO Zone       สรุประยะเวลาที่ใช้
 ร้อยละ  2.9  น้อยกว่า 1 ปี         ร้อยละ  1.4  น้อยกว่า 1 ปี       ร้อยละ  17.1  แนวทางอยู่กับ EU ต่อไปจะใช้เวลาน้อยกว่า
 ร้อยละ  11.4 ใช้เวลา 1-3 ปี       ร้อยละ  24.3 ใช้เวลา 1-3 ปี     ร้อยละ  38.6  แนวทางออกจาก EU จะใช้เวลาน้อยกว่า
 ร้อยละ  25.7 ใช้เวลา  3-5 ปี      ร้อยละ  28.6 ใช้เวลา 3-5 ปี     ร้อยละ  27.1  ใช้เวลาเท่ากันทั้งสองแนวทาง
 ร้อยละ  50.0  มากกว่า 5 ปี        ร้อยละ  31.4  มากกว่า 5 ปี      ร้อยละ  17.1  ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ
ร้อยละ  10.0  ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ      ร้อยละ  14.3  ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ

3.  ความเห็นต่อประเด็น  เงื่อนไขของสหภาพยุโรปและ IMF ที่ให้กรีซรัดเข็มขัดเพื่อแลกกับเงินกู้ เป็นการดำเนินการที่ถูกทางหรือไม่
          ร้อยละ  42.9          เป็นการดำเนินการที่ถูกทางแล้ว โดยให้เหตุผลว่า การสร้างวินัยทางการคลังเป็นสิ่งที่จำเป็น

ในการแก้วิกฤติเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินกู้ และมีรายจ่ายที่เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจโดยเฉพาะ

ในช่วงเริ่มแรก แต่หลังจากนั้นควรมีการผ่อนปรนตามความเหมาะสมเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ

และจะต้องเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงดูแลผลกระทบที่จะมีต่อสวัสดิการของประชาชนด้วย

          ร้อยละ  22.9          เป็นการดำเนินการที่ไม่ถูกทาง โดยให้เหตุผลว่า เงื่อนไขการรัดเข็มขัดที่เข้มงวดจะทำให้เศรษฐกิจ

มีความยืดหยุ่นน้อย ไม่เติบโต ทำให้รายได้ลดลง(การรัดเข็มขัดแม้จะทำให้รายจ่ายลดแต่รายได้ก็ลดด้วย)

ประกอบการกับใช้เงิน EURO จึงทำให้เศรษฐกิจไม่มีความยืดหยุ่น ทำให้นักเศรษฐศาสตร์บางส่วนเชื่อว่า

การออกจากEURO Zoneน่าจะเป็นการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด

          ร้อยละ  34.2          ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ

4.  ความเห็นต่อประเด็น  ปัญหาของกรีซจะลุกลามไปยังประเทศอื่นๆ ในยุโรปแล้วก่อปัญหาทำให้เศรษฐกิจโลกทรุดลงหรือแย่กว่าปัจจุบันอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่
          ร้อยละ  25.7          ปัญหาจะไม่ลุกลามหรือไม่ทำให้เศรษฐกิจโลกทรุดลงหรือแย่กว่าปัจจุบันอย่างมีนัยสำคัญ
          ร้อยละ  67.1          ปัญหาจะลุกลามและทำให้เศรษฐกิจทรุดลงหรือแย่กว่าปัจจุบันอย่างมีนัยสำคัญ
          ร้อยละ  7.2          ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ

5.  ความเห็นต่อประเด็น  เห็นด้วยหรือไม่หากอาเซียนจะมีเงินตราของภูมิภาคเหมือนกับเงิน EURO ของกลุ่ม EURO Zone
          ร้อยละ  11.4          เห็นด้วย  โดยให้เหตุผลว่า  การมีระบบเงินตราเป็นของภูมิภาคเองจะส่งผลต่อการค้าระหว่างประเทศ

โดยอนาคตหลังเปิด AEC ทำให้เกิดความสะดวก อีกทั้งจะสามารถช่วยบริหารความเสี่ยงด้านการเงิน

ได้ระดับหนึ่ง ดังนี้โดยรวมแล้วมีผลดี มากกว่าผลเสีย สำหรับกรณีกรีซนั้นถือเป็นกรณีเฉพาะ นอกจากนี้

ยังช่วยสร้างอำนาจถ่วงดุลโลกได้ดีขึ้น สังคมโลกจะได้รับความเป็นธรรมมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศ

กำลังพัฒนาทั้งหลาย

          ร้อยละ  71.4          ไม่เห็นด้วย เพราะ

1. ประเทศต่างๆ ในอาเซียนมีขนาดเศรษฐกิจ และมีความสามารถในการแข่งขันที่แตกต่างกัน

ซึ่งการใช้เงินสกุลเดียวกันเหมือนเงิน EURO อาเซียนจะต้องประสบปัญหาเช่นกันแน่นอน

ดังนั้น ความร่วมมือทางเศรษฐกิจควรเป็นเรื่องอื่นๆ มากกว่า

2. การมีเงินตราของอาเซียนจะทำให้ประเทศสูญเสียเครื่องมือทางการเงินในการแก้ปัญหา

ในอนาคต ขาดความเป็นอิสระในการดำเนินนโยบายการเงิน อีกทั้ง อาเซียนไม่มีประเทศ

ที่มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่เพียงพอที่จะช่วยดูแลในกรณีที่เกิดวิกฤติ

3. สภาพทางสังคม การศึกษา และการเมืองที่แตกต่างกันทำให้แต่ละประเทศมีปัญหาภายใน

ของตนเองจึงเป็นไปได้ยากที่จะมีการใช้เงินสกุลเดียวกัน โดยเฉพาะในบางประเทศ

ที่วินัยทางการคลังไม่ดีนัก

          ร้อยละ  17.2          ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ

6. ความเห็นต่อประเด็น  เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบจากปัญหาของกรีซและยุโรปทั้งทางตรงและทางอ้อมมากน้อยเพียงใด
          ร้อยละ            0.0          เชื่อว่าจะได้รับผลกระทบในระดับ “มากที่สุด”
          ร้อยละ            17.1         เชื่อว่าจะได้รับผลกระทบในระดับ “มาก”
          ร้อยละ            57.1         เชื่อว่าจะได้รับผลกระทบในระดับ “ปานกลาง”
          ร้อยละ            21.4         เชื่อว่าจะได้รับผลกระทบในระดับ “น้อย”
          ร้อยละ            2.9          เชื่อว่าจะได้รับผลกระทบในระดับ “น้อยที่สุด”
          ร้อยละ            1.5          ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ

7. ความเห็นต่อประเด็น  ปัจจุบันว่าเศรษฐกิจไทยมีความยืดหยุ่นจากปัญหาเศรษฐกิจโลกมากน้อยเพียงใด
          ร้อยละ  1.4          เชื่อว่ามีความยืดหยุ่นอยู่ในระดับ “มากที่สุด”
          ร้อยละ  21.4         เชื่อว่ามีความยืดหยุ่นอยู่ในระดับ “มาก”
          ร้อยละ  58.6         เชื่อว่ามีความยืดหยุ่นอยู่ในระดับ “ปานกลาง”
          ร้อยละ  17.1         เชื่อว่ามีความยืดหยุ่นอยู่ในระดับ “น้อย”
          ร้อยละ  0.0          เชื่อว่ามีความยืดหยุ่นอยู่ในระดับ “น้อยที่สุด”
          ร้อยละ  1.5          ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ

8. ข้อเสนอต่อรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อการพิจารณา พ.ร.บ.งบประมาณ ปี 2556

1. ควรพิจารณางบประมาณโดยเน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การปรับปรุงศึกษาอย่างเป็นรูปธรรม หรือการวิจัยและพัฒนา (R&D) ที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และควรมีการจัดลำดับความสำคัญของโครงการ และใช้งบประมาณให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด

2. ควรลดโครงการประชานิยม รักษาวินัยทางการคลังอย่างเคร่งครัด รวมถึงดูแลกำกับและติดตามการใช้งบประมาณอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้หากไม่มีการดำเนินการดังกล่าวอาจเป็นเหตุให้นำไปสู่ปัญหาหนี้สาธารณะในภายหลังอย่างที่ประเทศกรีซกำลังเผชิญอยู่

3. ควรพิจารณางบโดยเน้นความชัดเจน โปร่งใส ไม่มีการทุจริตคอร์รัปชั่น ไม่ใช้ผลประโยชน์เพื่อการต่อรอง

หมายเหตุ: รายงานผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ฉบับนี้ เป็นการสำรวจความเห็นส่วนตัวของ
                  นักเศรษฐศาสตร์ซึ่งมิได้สื่อถึงแนวนโยบายขององค์กรที่นักเศรษฐศาสตร์สังกัดอยู่แต่อย่างใด

รายละเอียดในการสำรวจ

วัตถุประสงค์

1. เพื่อสะท้อนความเห็นในประเด็นด้านเศรษฐกิจจากผู้ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจโดยตรงไปยังสาธารณชนโดยผ่านช่องทางสื่อมวลชน

2. เพื่อเสนอแนะต่อรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเตรียมการและวางแผนงานเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศไทย

กลุ่มตัวอย่าง

เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่สำเร็จการศึกษาทั้งระดับปริญญาตรีและปริญญาโทในสาขาเศรษฐศาสตร์ (กรณีสำเร็จการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์เฉพาะปริญญาตรี หรือปริญญาโท หรือปริญญาเอก อย่างใดอย่างหนึ่ง จะต้องมีประสบการณ์ในการทำงานด้านวิเคราะห์/วิจัย/หรืองานที่เกี่ยวข้องที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถด้านเศรษฐศาสตร์อย่างน้อย 5 ปีจนถึงปัจจุบัน) ที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานด้านการวิเคราะห์ วิจัยเศรษฐกิจระดับชั้นนำของประเทศ จำนวน 32 แห่ง ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(TDRI) มูลนิธิสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บริษัททริสเรทติ้ง ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย ธนาคารทหารไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคิน บริษัทหลักทรัพย์เอเชียพลัส บริษัทหลักทรัพย์ไอร่า บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซียไซรัส บริษัทหลักทรัพย์พัฒนสิน บริษัทหลักทรัพย์ภัทร คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยทักษิณ คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ สำนักวิชาการจัดการมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คณะวิทยาการจัดการมหาวิทยาลัยขอนแก่น คณะวิทยาการจัดการและสารสนเทศศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สำนักวิชาเศรษฐศาสตร์และนโยบายสาธารณะมหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ และคณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยกรุงเทพ

วิธีการรวบรวมข้อมูล

รวบรวมข้อมูลโดยการส่งแบบสอบถามออนไลน์ไปยังนักเศรษฐศาสตร์ในหน่วยงานที่กำหนดภายในระยะเวลาที่กำหนด

ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล            :  23 — 30 พฤษภาคม 2555

วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ                :  1 มิถุนายน 2555

ข้อมูลรายละเอียดของกลุ่มตัวอย่าง

                                         จำนวน        ร้อยละ
ประเภทของหน่วยงานที่กลุ่มตัวอย่างทำงานอยู่
           หน่วยงานภาครัฐ                    28          40.0
           หน่วยงานภาคเอกชน                 26          37.1
           สถาบันการศึกษา                    16          22.9
          รวม                              70         100.0

เพศ
            ชาย                            37          52.9
            หญิง                            33          47.1
          รวม                              70         100.0

อายุ
            26 ปี — 35 ปี                    23          32.9
            36 ปี — 45 ปี                    22          31.4
            46 ปีขึ้นไป                       25          35.7
          รวม                              63         100.0

การศึกษา
             ปริญญาตรี                        4           5.7
             ปริญญาโท                       52          74.3
             ปริญญาเอก                      14          20.0
          รวม                              70         100.0

ประสบการณ์ทำงานรวม
              1-5  ปี                       11          15.7
              6-10 ปี                       17          24.3
              11-15 ปี                      10          14.2
              16-20 ปี                       9          12.9
              ตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป                23          32.9
          รวม                              70         100.0

--ศูนย์วิจัยกรุงเทพโพลล์--


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ