นักเศรษฐศาสตร์คาดวิกฤติครั้งนี้จะยืดเยื้อ แม้ในอีก 2-3 ปีข้างหน้าการส่งออกก็จะยังมีปัญหา การปกป้องสินค้าของประเทศผู้นำเข้าจะมากขึ้นโดยเฉพาะในยุโรป
ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์จากองค์กรชั้นนำ 20 แห่ง จำนวน 40 คน เรื่อง “โอกาสและข้อจำกัดของไทยในวิกฤติหนี้ยุโรป”โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 27 มิ.ย. — 3 ก.ค. 2555 ที่ผ่านมา พบว่า นักเศรษฐศาสตร์มีความคิดเห็นต่อการปรับตัวของประเทศไทยเพื่อลดผลกระทบจากวิกฤติหนี้ในยุโรปและความอ่อนแอของเศรษฐกิจโลกด้วยการ ขยายความเชื่อมโยงในภูมิภาคอาเซียน / ขยายการค้าในตลาดอื่นๆ นอกเหนือจากตลาด EU และตลาดสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นตลาดเก่า (ร้อยละ 41.9) และเห็นว่าควรใช้วิกฤติหนี้ของยุโรปเป็นบทเรียนในเรื่องการบริหารหนี้ บริหารการเงินของรัฐ โครงการรัฐสวัสดิการต่างๆ และควรเร่งปฏิรูปการคลังอย่างจริงจัง (ร้อยละ 25.8)
ทั้งนี้นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 37.5 เห็นว่าความขัดแย้งทางการเมืองเป็นปัญหาอุปสรรคหรือข้อจำกัดที่สำคัญของไทยที่อาจทำให้เศรษฐกิจของประเทศได้รับผลกระทบจากวิกฤติหนี้ในยุโรปและความอ่อนแอของเศรษฐกิจโลกในระดับที่สูงกว่าที่ควรจะเป็น รองลงมาร้อยละ 20.9 เห็นว่าต้นทุนการผลิตสูง ประสิทธิภาพการผลิตที่ต่ำ ข้อจำกัดของโครงสร้างพื้นฐาน เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยอยู่ในระดับต่ำ ส่งผลต่อระดับผลกระทบที่อาจจะได้รับ
โดยผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทยอันเป็นผลมาจากวิกฤติในยุโรปและความอ่อนแอของเศรษฐกิจโลกในระยะสั้น(ปัจจุบันถึงปีหน้า)คือ การส่งออกที่จะลดลง โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับ สิ่งทอ รวมถึงสินค้าฟุ่มเฟือยส่งออกอื่นๆ (ร้อยละ 88.9) รองลงมาเป็นความผันผวนในอัตราแลกเปลี่ยน/ค่าเงินบาท (ร้อยละ 25.0) ส่วนผลกระทบในระยะยาว(อีก 2-3 ปีข้างหน้า) คือ การส่งออกที่จะยังลดลง / การปกป้องสินค้าของประเทศตนจากประเทศผู้นำเข้า (ร้อยละ 33.3) รองลงมาเป็นเสถียรภาพทางด้านการคลังจากการก่อหนี้เพื่อกระตุ้นหรือประคองเศรษฐกิจในประเทศซึ่งนักเศรษฐศาสตร์คาดว่าหนี้สาธารณะที่จะเพิ่มขึ้น (ร้อยละ 18.2) และการลงทุนของภาคเอกชน การลงทุนจากต่างประเทศ ที่จะน้อยลง(ร้อยละ 18.2)
1. รัฐควรใช้นโยบายการคลังที่มุ่งประสิทธิภาพ ลดรายจ่ายประชานิยม มีการจัดลำดับความสำคัญของโครงการ(ร้อยละ 38.7)
2. สร้างกำลังซื้อ ขยายตลาดในประเทศ เพื่อทดแทนตลาดต่างประเทศ(ร้อยละ 19.4)
3. วิกฤติครั้งนี้คงจะยืดเยื้อ ขอให้รัฐบาลเตรียมพร้อมแม้ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเสมอ(ร้อยละ 16.1)
(โปรดพิจารณารายละเอียดของผลสำรวจดังต่อไปนี้)
ร้อยละ 41.9 ขยายความเชื่อมโยงในภูมิภาคอาเซียน / ขยายการค้าในตลาดอื่นๆ นอกเหนือจากตลาด EU
และตลาดสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดเก่า
ร้อยละ 25.8 ใช้เป็นบทเรียนในเรื่องการบริหารหนี้ บริหารการเงินของรัฐ โครงการรัฐสวัสดิการต่างๆ
และควรเร่งปฏิรูปการคลังอย่างจริงจัง
ร้อยละ 22.6 เร่งนำเข้าสินค้าทุนเพื่อใช้ในภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรม การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน
รวมถึงการซื้อกิจการการซื้อสินทรัพย์ราคาถูกในต่างประเทศ และการชำระหนี้ต่างประเทศ
ร้อยละ 22.6 ส่งเสริมการท่องเที่ยวและการค้าในประเทศ ขยายอุปสงค์มวลรวมในประเทศเพื่อทดแทนตลาดต่างประเทศ ร้อยละ 16.1 เป็นบทเรียน และเป็นแนวทางในการพัฒนาอาเซียน ร้อยละ 12.9 พัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืน / สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า ร้อยละ 9.7 การลงทุนทางตรงในไทยอาจจะเพิ่มขึ้น หากไม่มีปัญหาด้านอื่นๆ ร้อยละ 3.2 ทำประเทศให้พร้อมอยู่เสมอแม้ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด
หมายเหตุ : ข้อคำถามปลายเปิด นักเศรษฐศาสตร์ตอบเองตามอิสระ และสามารถตอบได้มากกว่า 1 ประเด็น
ร้อยละ 37.5 ความขัดแย้งทางการเมือง ร้อยละ 20.9 ต้นทุนการผลิตสูง ประสิทธิภาพการผลิตที่ต่ำ ข้อจำกัดของโครงสร้างพื้นฐาน
ทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยอยู่ในระดับต่ำ
ร้อยละ 20.8 การพึ่งพาเศรษฐกิจโลกมากกว่าเศรษฐกิจในประเทศ การส่งออกที่พึ่งพิงประเทศอื่นๆ อีกต่อหนึ่ง ร้อยละ 12.5 นโยบายของรัฐที่ไม่ชัดเจน/ นโยบายที่ไม่ถูกทางในบางโครงการ โดยเฉพาะโครงการประชานิยมต่างๆ ร้อยละ 12.5 ภัยธรรมชาติ หรือเหตุการณ์ไม่คาดคิดอื่นๆ ร้อยละ 8.3 การวางแผนตั้งรับของภาคธุรกิจและภาครัฐจากผลกระทบจากวิกฤติในยุโรปแทนที่จะเป็นแผนเชิงรุก
รวมถึงความพร้อมของหน่วยงานราชการที่ยังน้อยอยู่
ร้อยละ 8.3 การขาดแคลนเงินทุนทำให้มีข้อจำกัดในการซื้อสินทรัพย์ราคาถูกในประเทศที่ประสบวิกฤติ หรือ ทำให้มีข้อจำกัด
ในการนำเข้าสินค้าทุน หรือการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน
ร้อยละ 8.3 ขาดข้อมูลที่แท้จริงและการวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่ยังไม่ชัดเจน ไม่ครอบคลุม ร้อยละ 4.2 ระบบราชการที่ไม่เอื้อ
หมายเหตุ : ข้อคำถามปลายเปิด นักเศรษฐศาสตร์ตอบเองตามอิสระ และสามารถตอบได้มากกว่า 1 ประเด็น
3. ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทยอันเป็นผลมาจากวิกฤติในยุโรปและความอ่อนแอของเศรษฐกิจโลก
ร้อยละ 88.9 การส่งออกที่จะลดลง โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับ สิ่งทอ รวมถึงสินค้าฟุ่มเฟือยส่งออกอื่นๆ ร้อยละ 25.0 ความผันผวนในอัตราแลกเปลี่ยน ค่าเงินบาท ร้อยละ 22.2 การท่องเที่ยวที่จะลดลง ร้อยละ 5.6 การลงทุนที่จะลดลง ร้อยละ 5.6 ความผันผวนในตลาดหลักทรัพย์ ร้อยละ 2.8 การขาดดุลการค้า ร้อยละ 2.8 การว่างงาน ร้อยละ 2.8 การเก็บภาษีได้น้อยลง/ขาดดุลงบประมาณมากขึ้น
หมายเหตุ : ข้อคำถามปลายเปิด นักเศรษฐศาสตร์ตอบเองตามอิสระ และสามารถตอบได้มากกว่า 1 ประเด็น
ร้อยละ 33.3 การส่งออกที่จะยังลดลง / การปกป้องสินค้าของประเทศตนจากประเทศผู้นำเข้า ร้อยละ 18.2 เสถียรภาพทางด้านการคลังจากการก่อหนี้เพื่อกระตุ้นหรือประคองเศรษฐกิจในประเทศ / หนี้สาธารณะที่จะเพิ่มขึ้น ร้อยละ 18.2 การลงทุนของภาคเอกชน การลงทุนจากต่างประเทศ จะน้อยลง ร้อยละ 15.2 ความผันผวนในตลาดการเงินและตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ร้อยละ 15.2 เศรษฐกิจของประเทศจะซบเซายาวนาน (นานกว่าวิกฤติ sub-prime) ร้อยละ 12.1 การจ้างงานจะลดลง / เริ่มมีปัญหาว่างงาน ร้อยละ 3.0 โครงสร้างการผลิตและการส่งออกจะปรับเปลี่ยน
หมายเหตุ : ข้อคำถามปลายเปิด นักเศรษฐศาสตร์ตอบเองตามอิสระ และสามารถตอบได้มากกว่า 1 ประเด็น
ร้อยละ 38.7 รัฐควรใช้นโยบายการคลังที่มุ่งประสิทธิภาพ ลดรายจ่ายประชานิยม มีการจัดลำดับความสำคัญของโครงการ ร้อยละ 19.4 สร้างกำลังซื้อ ขยายตลาดในประเทศ เพื่อทดแทนตลาดต่างประเทศ ร้อยละ 16.1 วิกฤติคงจะยืดเยื้อ ขอให้รัฐบาลเตรียมพร้อมแม้ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเสมอ ร้อยละ 12.9 นำบทเรียนจากวิกฤติที่เกิดขึ้นกับยุโรปมาปรับใช้กับประเทศไทยและอาเซียน ร้อยละ 6.5 ดูแลอัตราแลกเปลี่ยนอย่าให้ผันผวน ร้อยละ 3.2 สร้างความได้เปรียบจากวิกฤติที่เกิดขึ้น เช่น การซื้อสินทรัพย์ราคาถูกในประเทศที่ประสบวิกฤติ ร้อยละ 3.2 สร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจ ร้อยละ 3.2 นำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ ร้อยละ 3.2 สร้างความชัดเจนในนโยบายรัฐบาล เพื่อเอกชนจะได้ปรับตัวอย่างมีทิศทาง
หมายเหตุ : ข้อคำถามปลายเปิด นักเศรษฐศาสตร์ตอบเองตามอิสระ และสามารถตอบได้มากกว่า 1 ประเด็น
หมายเหตุ: รายงานผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ฉบับนี้ เป็นการสำรวจความเห็นส่วนตัวของ นักเศรษฐศาสตร์ซึ่งมิได้สื่อถึงแนวนโยบายขององค์กรที่นักเศรษฐศาสตร์สังกัดอยู่แต่อย่างใด
รายละเอียดในการสำรวจ
1. เพื่อสะท้อนความเห็นในประเด็นด้านเศรษฐกิจจากผู้ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจโดยตรงไปยังสาธารณชนโดยผ่านช่องทางสื่อมวลชน
2. เพื่อเสนอแนะต่อรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเตรียมการและวางแผนงานเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศไทย
เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่สำเร็จการศึกษาทั้งระดับปริญญาตรีและปริญญาโทในสาขาเศรษฐศาสตร์ (กรณีสำเร็จการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์เฉพาะปริญญาตรี หรือปริญญาโท หรือปริญญาเอก อย่างใดอย่างหนึ่ง จะต้องมีประสบการณ์ในการทำงานด้านวิเคราะห์/วิจัย/หรืองานที่เกี่ยวข้องที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถด้านเศรษฐศาสตร์อย่างน้อย 5 ปีจนถึงปัจจุบัน) ที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานด้านการวิเคราะห์ วิจัยเศรษฐกิจระดับชั้นนำของประเทศ จำนวน 20 แห่ง ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(TDRI) ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคิน บริษัทหลักทรัพย์เอเชียพลัส บริษัทหลักทรัพย์พัฒนสิน บริษัทหลักทรัพย์ภัทร คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยทักษิณ คณะวิทยาการจัดการและสารสนเทศศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร สำนักวิชาเศรษฐศาสตร์และนโยบายสาธารณะมหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ และคณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
รวบรวมข้อมูลโดยการส่งแบบสอบถามออนไลน์ไปยังนักเศรษฐศาสตร์ในหน่วยงานที่กำหนดภายในระยะเวลาที่กำหนด
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล : 27 มิถุนายน — 3 กรกฎาคม 2555 วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ : 4 กรกฎาคม 2555
ข้อมูลรายละเอียดของกลุ่มตัวอย่าง
จำนวน ร้อยละ ประเภทของหน่วยงานที่กลุ่มตัวอย่างทำงานอยู่ หน่วยงานภาครัฐ 20 50.0 หน่วยงานภาคเอกชน 13 32.5 สถาบันการศึกษา 7 17.5 รวม 40 100.0 เพศ ชาย 20 50.0 หญิง 20 50.0 รวม 40 100.0 อายุ 26 ปี — 35 ปี 14 35.0 36 ปี — 45 ปี 12 30.0 46 ปีขึ้นไป 14 35.0 รวม 40 100.0 การศึกษา ปริญญาตรี 4 10.0 ปริญญาโท 28 70.0 ปริญญาเอก 8 20.0 รวม 40 100.0 ประสบการณ์ทำงานรวม 1-5 ปี 3 7.5 6-10 ปี 10 25.0 11-15 ปี 10 25.0 16-20 ปี 5 12.5 ตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป 12 30.0 รวม 40 100.0
--ศูนย์วิจัยกรุงเทพโพลล์--