หากวันนี้เป็นวันลงประชามติเพื่อแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ประชาชนร้อยละ 63.5 จะไม่สนับสนุนแต่ร้อยละ 45.4 สนับสนุนให้แก้มาตรา 68
ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชน 22 จังหวัดทั่วประเทศ เรื่อง“ความคิดเห็นประชาชนต่อการปรับแก้รัฐธรรมนูญปี 2550” โดยเก็บข้อมูลกับผู้ที่มีสิทธิเลือกตั้ง จำนวน 1,265 คน พบว่า
เมื่อถามประชาชนว่ารัฐธรรมนูญปี 2550 ฉบับปัจจุบันมีปัญหาหรือไม่ ประชาชนร้อยละ 45.4 คิดว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันบางมาตราอาจมีปัญหาจึงอยากให้แก้เป็นรายมาตราไป รองลงมาร้อยละ 25.2 คิดว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันไม่ได้มีปัญหาจึงไม่จำเป็นต้องแก้ และมีเพียงร้อยละ 9.3 เท่านั้นที่ระบุว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีปัญหาและต้องแก้ทั้งฉบับ
สำหรับความคิดเห็นประชาชนที่มีต่อการปรับแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 68 วรรคสองให้มีความชัดเจนขึ้น จากเดิมที่ระบุว่า “...ผู้ที่ทราบการกระทำ (เพื่อการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข) ย่อมมีสิทธิเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงและยื่นเรื่องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าว…” พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 45.4 เห็นด้วยให้มีการปรับแก้ไขมาตราดังกล่าว ในจำนวนนี้ ร้อยละ 27.8 เห็นว่าใจความสำคัญควรอยู่ในลักษณะ “ให้ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพียงช่องทางเดียวเท่านั้น ก่อนที่อัยการสูงสุดจะยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญต่อไป” ขณะที่ร้อยละ 33.6 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยให้มีการปรับแก้มาตราดังกล่าว และร้อยละ 21.1 ไม่ออกความคิดเห็น
สุดท้ายเมื่อถามว่าหากวันนี้เป็นวันลงประชามติเพื่อถามว่า “ท่านจะสนับสนุนให้มีการแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับหรือไม่” พบว่า ประชาชนร้อยละ 63.5 ไม่สนับสนุนให้มีการแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ และมีเพียงร้อยละ 19.5 ที่สนับสนุนให้มีการแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ในขณะที่ร้อยละ 17.0 ไม่แสดงความเห็น
ส่วนความคิดเห็นที่มีต่อแนวคิดในการจัดตั้งองค์กรพิทักษ์รัฐธรรมนูญที่จะให้มาทำหน้าที่แทนศาลรัฐธรรมนูญ ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 49.8 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดในการจัดตั้งองค์กรพิทักษ์รัฐธรรมนูญ และร้อยละ 26.6 เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว ในขณะที่ร้อยละ 23.6 ไม่แสดงความเห็น
รายละเอียดต่อไปนี้
- รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันบางมาตราอาจมีปัญหาจึงอยากให้แก้เป็นรายมาตราไป ร้อยละ 45.4 - รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันไม่ได้มีปัญหา จึงไม่จำเป็นต้องแก้ทั้งฉบับ ร้อยละ 25.2 - รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีปัญหาและต้องแก้ทั้งฉบับ ร้อยละ 9.3 - ไม่แสดงความเห็น ร้อยละ 20.1 2. ประชาชนเห็นด้วยหรือไม่ ถ้าจะมีการแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 68 วรรคสองให้มีความชัดเจน และใจความสำคัญควรอยู่ในลักษณะใด จากเดิมที่ระบุว่า “...ผู้ที่ทราบการกระทำ(เพื่อการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข) ย่อมมีสิทธิเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงและยื่นเรื่องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าว…” - เห็นด้วยให้มีการปรับแก้ไขมาตราดังกล่าว ร้อยละ 45.4
โดย
- เห็นด้วยให้มีการปรับแก้มาตราดังกล่าว โดยมีใจความสำคัญคือ
“ให้ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพียงช่องทางเดียวเท่านั้น
ก่อนที่อัยการสูงสุดจะยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญต่อไป” ร้อยละ 27.8
- เห็นด้วยให้มีการปรับแก้มาตราดังกล่าว โดยมีใจความสำคัญคือ “ให้ส่งเรื่องได้
โดยผ่านอัยการสูงสุด หรือส่งเรื่องโดยตรงผ่านศาลรัฐธรรมนูญก็ได้” ร้อยละ 10.0
- เห็นด้วยให้มีการปรับแก้มาตราดังกล่าว โดยมีใจความสำคัญคือ “ให้สามารถส่งเรื่อง
ให้ศาลรัฐธรรมนูญได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านอัยการสูงสุด” ร้อยละ 7.6 - ไม่เห็นด้วยให้มีการปรับแก้มาตราดังกล่าว ร้อยละ 33.6 - ไม่แสดงความเห็น ร้อยละ 21.0 3. หากวันนี้เป็นวันลงประชามติเพื่อถามว่า “ท่านจะสนับสนุนให้มีการแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับหรือไม่” พบว่า - ไม่สนับสนุนให้มีการแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ร้อยละ 63.5 - สนับสนุนให้มีการแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ร้อยละ 19.5 - ไม่แสดงความเห็น ร้อยละ 17.0 4. ความคิดเห็นที่มีต่อแนวคิดในการจัดตั้งองค์กรพิทักษ์รัฐธรรมนูญที่จะให้มาทำหน้าที่แทนศาลรัฐธรรมนูญ - ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดในการจัดตั้งองค์กรพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ร้อยละ 49.8 - เห็นด้วยกับแนวคิดในการจัดตั้งองค์กรพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ร้อยละ 26.6 - ไม่แสดงความเห็น ร้อยละ 23.6
หมายเหตุ ค่าร้อยละที่แสดงในทุกข้อข้างต้น เป็นค่าร้อยละที่ได้ถ่วงน้ำหนักตามข้อมูลสัดส่วนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในแต่ละภาค
รายละเอียดในการสำรวจ
เพื่อสอบถามความคิดเห็นจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ เกี่ยวกับความคิดเห็นที่มีต่อการปรับแก้รัฐธรรมนูญปี 2550 ในประเด็นต่างๆ ซึ่งกำลังเป็นที่สนใจของคนในสังคมในขณะนี้ ทั้งนี้เพื่อสะท้อนมุมมองความคิดเห็นของประชาชนให้สังคมและผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ และนำไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาประเทศต่อไป
การสำรวจใช้การสุ่มตัวอย่างจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวน 22 จังหวัดทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-Stage Sampling) โดยสุ่มจังหวัดในแต่ละภาคจากนั้นจึงสุ่มประชากรเป้าหมายที่จะสัมภาษณ์อย่างเป็นระบบ ได้กลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 1,265 คน เป็นเพศชายร้อยละ 50.0 และเพศหญิงร้อยละ 50.0
ในการประมาณการขนาดตัวอย่างมีขอบเขตของความคลาดเคลื่อน ? 3% ที่ระดับความเชื่อมั่น 95%
ใช้การสัมภาษณ์แบบพบตัว (Face-to-face Interview) โดยเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามที่มีโครงสร้างแน่นอน ประกอบด้วยข้อคำถามแบบเลือกตอบ (Check List Nominal) จากนั้นได้นำแบบสอบถามทุกชุดมาตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ก่อนบันทึกข้อมูลและประมวลผล
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล : 17-20 กรกฎาคม 2555 วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ : 21 กรกฎาคม 2555
ข้อมูลประชากรศาสตร์ของกลุ่มตัวอย่าง
จำนวน (คน) ร้อยละ เพศ
ชาย 632 50 หญิง 633 50 รวม 1,265 100 อายุ 18 - 25 ปี 260 20.5 26 - 35 ปี 344 27.2 36 - 45 ปี 316 25 46 ปีขึ้นไป 345 27.3 รวม 1,265 100
การศึกษา
ต่ำกว่าปริญญาตรี 743 58.7 ปริญญาตรี 441 34.9 สูงกว่าปริญญาตรี 81 6.4 รวม 1,265 100 อาชีพ ข้าราชการ / พนักงานรัฐวิสาหกิจ 231 18.3 พนักงาน / ลูกจ้าง บริษัทเอกชน 258 20.4 ค้าขาย / ประกอบอาชีพส่วนตัว 255 20.2 รับจ้างทั่วไป 179 14.2 เกษตรกร 109 8.6 พ่อบ้าน แม่บ้าน เกษียณอายุ 83 6.6 นักศึกษา 129 10.2 อื่นๆ อาทิ อาชีพอิสระ ว่างงาน เป็นต้น 21 1.5 รวม 1,265 100
--ศูนย์วิจัยกรุงเทพโพลล์--