นักเศรษฐศาสตร์ 51.6 % สนับสนุนให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับการใช้เงินงบประมาณเพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ มากกว่าการลดหนี้สาธารณะ แต่ 57.8 % ห่วงปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน
เนื่องด้วยในวันที่ 15-17 สิงหาคมนี้ จะมีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2556 ในวาระ 2 - 3 ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) จึงได้ทำการสำรวจความคิดเห็นนักเศรษฐศาสตร์จากองค์กรชั้นนำ 27 แห่ง จำนวน 64 คน เรื่อง “พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2556” เพื่อผลสำรวจที่ได้จักเป็นข้อมูลประกอบการประชุมให้กับสภาผู้แทนราษฎรรวมถึงหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยผลการสำรวจมีดังนี้
นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 40.6 เชื่อว่ารัฐบาลจะจัดเก็บรายได้ได้ตามเป้าหมายที่ประมาณการไว้ที่ จำนวน 2,197,900 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.3 จากปีก่อน ขณะที่ร้อยละ 39.1 เชื่อว่ารัฐบาลจะจัดเก็บรายได้ได้ต่ำกว่าที่ประมาณการไว้ เมื่อถามว่าคิดอย่างไรกับการดำเนินนโยบายงบประมาณแบบขาดดุลจำนวน 300,000 ล้านบาท นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 39.1 เห็นว่าน่าจะขาดดุลในจำนวนเงินที่ต่ำกว่านี้ ขณะที่ร้อยละ 35.9 เห็นว่าเป็นจำนวนที่เหมาะสมแล้ว
สำหรับความคิดเห็นเกี่ยวกับงบลงทุนจำนวน 448,938.8 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 18.7 ของวงเงินงบประมาณ นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 40.6 เห็นว่าสัดส่วนงบลงทุนต่อจีดีพีน่าจะสูงกว่านี้ โดยควรอยู่ที่ระดับร้อยละ 23.4 ของวงเงินงบประมาณรวม ขณะที่ร้อยละ 32.8 เห็นว่าเป็นระดับที่เหมาะสมแล้ว
ส่วนสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์กังวลมากที่สุดเกี่ยวกับการใช้งบประมาณคือ การทุจริตคอร์รัปชัน (ร้อยละ 57.8) การใช้งบประมาณในโครงการประชานิยม (ร้อยละ 20.3) และความไม่มีประสิทธิภาพในการใช้เงินงบประมาณ(ร้อยละ 12.5) สุดท้ายเมื่อถามว่าระดับหนี้สาธารณะต่อจีดีพีกับความจำเป็นในการใช้เงินงบประมาณ อะไรมีความสำคัญมากกว่ากัน ณ สถานการณ์และบริบทปัจจัยต่างๆ ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คิดเห็นร้อยละ 51.6 เห็นว่าควรให้ความสำคัญกับการใช้งบประมาณเพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ มากกว่าการลดหนี้สาธารณะ
นอกจากนี้นักเศรษฐศาสตร์ยังได้ให้ข้อเสนอเกี่ยวกับการจัดทำ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2556 ไว้ดังนี้
อันดับ 1 รัฐบาลควรคำนึงถึงประสิทธิภาพของการใช้เงิน มีการจัดลำดับความสำคัญของโครงการ
และสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
อันดับ 2 รัฐบาลควรใช้งบประมาณเพื่อวัตถุประสงค์ในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเป็นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในโครงสร้าง
พื้นฐาน การพัฒนาการศึกษา มีการกระจายงบประมาณลงไปยังท้องถิ่นให้มากขึ้นเพื่อลดความเหลื่อมล้ำรวมถึงช่วยสร้างความ
แข็งแกร่งให้กับอุปสงค์ภายในประเทศด้วย
อันดับ 3 รัฐบาลควรเร่งทำงบประมาณให้มีความสมดุล บริหารจัดการสัดส่วนหนี้ต่อจีดีพี รวมถึงไม่ควรก่อหนี้มาใช้ในโครงการประชานิยม
แต่ควรก่อหนี้มาใช้ในโครงการลงทุน
(โปรดพิจารณารายละเอียดของผลสำรวจดังต่อไปนี้)
ร้อยละ 40.6 เชื่อว่ารัฐบาลจะจัดเก็บรายได้ได้ตามที่ประมาณการไว้ ร้อยละ 39.1 เชื่อว่ารัฐบาลจะจัดเก็บรายได้ได้ต่ำกว่าที่ประมาณการไว้ ร้อยละ 10.9 เชื่อว่ารัฐบาลจะจัดเก็บรายได้ได้สูงกว่าที่ประมาณการไว้ ร้อยละ 9.4 ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ/ไม่ทราบ 2. ความคิดเห็นที่มีต่อรัฐบาลว่าการขาดดุลในกรอบวงเงิน 300,000 ล้านบาท เป็นจำนวนที่เหมาะสมหรือไม่ ทั้งนี้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 ในวงเงินงบประมาณทั้งสิ้น 2,400,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการดำเนินนโยบายงบประมาณแบบขาดดุล จำนวน 300,000 ล้านบาท ร้อยละ 39.1 น่าจะขาดดุลในจำนวนเงินที่ต่ำกว่านี้ ร้อยละ 35.9 เป็นจำนวนที่เหมาะสมแล้ว ร้อยละ 12.5 น่าจะขาดดุลในจำนวนเงินที่สูงกว่านี้ ร้อยละ 12.5 ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ/ไม่ทราบ 3. ความคิดเห็นต่อรายจ่ายลงทุนจำนวน 448,938.8 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 18.7 ของวงเงินงบประมาณ เป็นจำนวนที่เหมาะสมหรือไม่ ร้อยละ 40.6 น่าจะสูงกว่านี้ที่ระดับร้อยละ 23.4 โดยเฉลี่ยของวงเงินงบประมาณรวม ร้อยละ 32.8 เป็นระดับที่เหมาะสมแล้ว ร้อยละ 4.7 น่าจะต่ำกว่านี้ที่ระดับร้อยละ 10.0 โดยเฉลี่ยของวงเงินงบประมาณรวม ร้อยละ 21.9 ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ/ไม่ทราบ 4. สิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์กังวลมากที่สุดเกี่ยวกับการใช้งบประมาณ อันดับ 1 การทุจริตคอร์รัปชัน ร้อยละ 57.8 อันดับ 2 การใช้งบประมาณในโครงการประชานิยม ร้อยละ 20.3 อันดับ 3 ความไม่มีประสิทธิภาพในการใช้เงินงบประมาณ ร้อยละ 12.5 อันดับ 4 การขาดการจัดลำดับความสำคัญของโครงการ ร้อยละ 4.7 อันดับ 5 การขาดการติดตามการใช้งบประมาณอย่างจริงจัง ร้อยละ 1.6 อันดับ 6 อื่นๆ คือ ความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะชน ร้อยละ 1.6 ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ/ไม่ทราบ ร้อยละ 4.7 5. ความเห็นที่มีต่อระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP กับความจำเป็นในการใช้เงินงบประมาณ อะไรมีความสำคัญมากกว่ากัน ณ สถานการณ์และบริบทปัจจัยต่างๆ ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ร้อยละ 51.6 ควรให้ความสำคัญกับการใช้งบประมาณเพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ มากกว่าการลดหนี้สาธารณะ ร้อยละ 35.9 ควรให้ความสำคัญกับการลดหนี้สาธารณะมากกว่าการใช้งบประมาณเพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ ร้อยละ 12.5 ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ/ไม่ทราบ 6. ข้อเสนอเกี่ยวกับการจัดทำ พรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2556 อันดับ 1 รัฐบาลควรคำนึงถึงประสิทธิภาพของการใช้เงิน มีการจัดลำดับความสำคัญของโครงการ และสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ อันดับ 2 รัฐบาลควรใช้งบประมาณเพื่อวัตถุประสงค์ในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเป็นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาการศึกษา มีการกระจายงบประมาณลงไปยังท้องถิ่นให้มากขึ้น เพื่อลดความเหลื่อมล้ำรวมถึงช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับอุปสงค์ภายในประเทศด้วย อันดับ 3 รัฐบาลควรเร่งทำงบประมาณให้มีความสมดุล บริหารจัดการสัดส่วนหนี้ต่อจีดีพี รวมถึงไม่ควรก่อหนี้มาใช้ ในโครงการประชานิยม แต่ควรก่อหนี้มาใช้ในโครงการลงทุน อันดับ 4 ภาครัฐควรมีการติดตามการใช้งบประมาณอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มีการใช้งบประมาณอย่างโปร่งใส อันดับ 5 ภาครัฐควรแยกงบด้านการลงทุนออกจากงบรายจ่ายประจำปีเพิ่มความมีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ, ในกรณีที่จะมีโครงการประชานิยม การดำเนินโครงการควรอยู่ในรูปแบบสวัสดิการมากกว่าการลดภาษี เป็นต้น
รายละเอียดในการสำรวจ
1. เพื่อสะท้อนความเห็นในประเด็นด้านเศรษฐกิจจากผู้ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจโดยตรงไปยังสาธารณชนโดยผ่านช่องทางสื่อมวลชน
2. เพื่อเสนอแนะต่อรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเตรียมการและวางแผนงานเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศไทย
เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่สำเร็จการศึกษาทั้งระดับปริญญาตรีและปริญญาโทในสาขาเศรษฐศาสตร์ (กรณีสำเร็จการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์เฉพาะปริญญาตรี หรือปริญญาโท หรือปริญญาเอก อย่างใดอย่างหนึ่ง จะต้องมีประสบการณ์ในการทำงานด้านวิเคราะห์/วิจัย/หรืองานที่เกี่ยวข้องที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถด้านเศรษฐศาสตร์อย่างน้อย 5 ปีจนถึงปัจจุบัน) ที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานด้านการวิเคราะห์ วิจัยเศรษฐกิจระดับชั้นนำของประเทศ จำนวน 27 แห่ง ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(TDRI) ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกรุงไทย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย ธนาคารทหารไทย ธนาคารธนชาต บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคิน บริษัทหลักทรัพย์ภัทร คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยทักษิณ คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ สำนักวิชาการจัดการมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คณะวิทยาการจัดการมหาวิทยาลัยขอนแก่น คณะวิทยาการจัดการและสารสนเทศศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร สำนักวิชาเศรษฐศาสตร์และนโยบายสาธารณะมหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยรามคำแหง และคณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
รวบรวมข้อมูลโดยการส่งแบบสอบถามออนไลน์ไปยังนักเศรษฐศาสตร์ในหน่วยงานที่กำหนดภายในระยะเวลาที่กำหนด
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล : 25 กรกฎาคม — 10 สิงหาคม 2555 วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ : 14 สิงหาคม 2555
หมายเหตุ: รายงานผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ฉบับนี้ เป็นการสำรวจความเห็นส่วนตัวของ นักเศรษฐศาสตร์ซึ่งมิได้สื่อถึงแนวนโยบายขององค์กรที่นักเศรษฐศาสตร์สังกัดอยู่แต่อย่างใด
ข้อมูลรายละเอียดของกลุ่มตัวอย่าง
จำนวน ร้อยละ ประเภทของหน่วยงานที่กลุ่มตัวอย่างทำงานอยู่ หน่วยงานภาครัฐ 29 45.3 หน่วยงานภาคเอกชน 19 29.7 สถาบันการศึกษา 16 25.0 รวม 64 100.0 เพศ ชาย 35 54.7 หญิง 29 45.3 รวม 64 100.0 อายุ 26 ปี — 35 ปี 21 32.8 36 ปี — 45 ปี 18 28.1 46 ปีขึ้นไป 25 39.1 รวม 64 100.0 การศึกษา ปริญญาตรี 3 4.7 ปริญญาโท 43 67.2 ปริญญาเอก 18 28.1 รวม 64 100.0 ประสบการณ์ทำงานรวม 1-5 ปี 10 15.6 6-10 ปี 15 23.4 11-15 ปี 8 12.5 16-20 ปี 8 12.5 ตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป 23 35.9 รวม 64 100.0
--ศูนย์วิจัยกรุงเทพโพลล์--