นักเศรษฐศาสตร์ประเมินนโยบายประชานิยมของรัฐบาลชุดปัจจุบันพบ 7 โครงการเป็นโครงการประชานิยมที่ไม่ดี 4 โครงการเป็นโครงการประชานิยมที่ดี และ 5 โครงการเป็นโครงการประชานิยมที่ดีแต่มีวิธีดำเนินการไม่ถูกต้อง พร้อมระบุนโยบายประชานิยมไม่ช่วยสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน ไม่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ไม่ช่วยทำให้เศรษฐกิจภายในประเทศมีความเข้มแข็งขึ้นอย่างยั่งยืน แต่ซ้ำร้ายเชื่อว่าคนไทยเริ่มเสพติดนโยบายประชานิยมแล้ว
ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์จากองค์กรชั้นนำ 27 แห่ง จำนวน 70 คน เรื่อง “นโยบายประชานิยมส่งผลดีหรือเสียต่อประเทศไทย”โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 21-28 ส.ค. ที่ผ่านมา พบว่า
นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 58.6 เห็นว่าโครงการประชานิยมไม่ช่วยสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศ รองลงมาร้อยละ 38.6 คิดว่าช่วยสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันได้บ้างแต่ไม่ยั่งยืน และเมื่อถามต่อว่าโครงการประชานิยมจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจได้หรือไม่ ร้อยละ 50.0 คิดว่าช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจได้บ้างแต่ไม่ยั่งยืน รองลงมาร้อยละ 47.1 คิดว่าไม่ช่วย
ด้านความเห็นต่อโครงการประชานิยมจะนำไปสู่การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจที่สมดุลมีความเข้มแข็งของเศรษฐกิจในประเทศ (Domestic Demand) มากขึ้นได้หรือไม่ ร้อยละ 52.9 คิดว่าช่วยทำให้เศรษฐกิจภายในประเทศมีความเข้มแข็งขึ้นได้บ้างแต่ไม่ยั่งยืน รองลงมาร้อยละ 40.0 คิดว่าไม่ช่วย
ในส่วนของโครงการประชานิยมที่มีการแทรกแซงกลไกราคาผ่านโครงการรับจำนำสินค้าเกษตรต่างๆ ของรัฐบาลจะก่อให้เกิดปัญหาที่สำคัญ(โดยเฉพาะในระยะยาว) คือ ร้อยละ 77.1 เชื่อว่าจะเป็นช่องทางให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่น การโก่งราคาเกษตรกร รองลงมาร้อยละ 68.6 เชื่อว่ารัฐบาลจะไม่สามารถกำหนดราคาขายในตลาดโลกได้ เนื่องจากสินค้าเกษตรจะเก็บไว้นานไม่ได้ และจะขาดทุนจากการดำเนินโครงการ ร้อยละ 65.7 เห็นว่าจะเป็นการส่งสัญญาณที่ผิดพลาด ราคารับจำนำที่สูงจะทำให้เกษตรกรขยายการเพาะปลูกที่เพิ่มขึ้น และร้อยละ 60.0 เชื่อว่าประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรจะลดลง
ทั้งนี้นักเศรษฐศาสตร์ได้ทำการประเมินผลได้สุทธิจากนโยบายประชานิยมกับงบประมาณที่ใช้ไป ว่าสิ่งใดจะมากกว่ากัน ร้อยละ 77.1 เห็นว่าผลได้สุทธิจากนโยบายประชานิยมจะน้อยกว่างบประมาณที่ใช้ไป และมีเพียงร้อยละ 5.7 เท่านั้นที่เห็นว่าผลได้สุทธิจากนโยบายประชานิยมจะมากกว่างบประมาณที่ใช้ไป
สุดท้ายเมื่อถามนักเศรษฐศาสตร์ในประเด็นว่าปัจจุบันนี้ “คนไทยเสพติดนโยบายประชานิยมหรือไม่” ร้อยละ 48.6 เชื่อว่าประชาชนเสพติดโครงการประชานิยมแล้ว รองลงมาร้อยละ 47.1 เชื่อว่าประชาชนเริ่มเสพติดโครงการประชานิยม (ไม่มีนักเศรษฐศาสตร์คนใดเลยที่เห็นว่าคนไทยยังไม่เสพติดโครงการประชานิยม) นอกจากนี้นักเศรษฐศาสตร์ยังได้ทำการประเมินนโยบายประชานิยมของรัฐบาลชุดปัจจุบันจำนวน 16โครงการ ว่าโครงการใดถือเป็นโครงการประชานิยมที่ดีหรือไม่ดี ผลสำรวจพบว่า
-โครงการโครงการรับจำนำข้าวเปลือก (ร้อยละ 65.7)
-โครงการแจกแท็บเลต พีซี (ร้อยละ 65.7)
-โครงการรถยนต์คันแรก (ร้อยละ 58.6)
-โครงการการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน (ร้อยละ 50.0)
-โครงการจบปริญญาตรี เงินเดือนเริ่มต้น 15,000 บาท (ร้อยละ 45.7)
-โครงการเบี้ยยังชีพคนชราแบบขั้นบันได (ร้อยละ 80.0)
-โครงการอินเทอร์เน็ตฟรีในที่สาธารณะ (ร้อยละ 78.6)
-โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคได้จริง (ร้อยละ 71.4)
(โปรดพิจารณารายละเอียดของผลสำรวจดังต่อไปนี้)
หมายเหตุ: รายงานผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ฉบับนี้ เป็นการสำรวจความเห็นส่วนตัวของ นักเศรษฐศาสตร์ซึ่งมิได้สื่อถึงแนวนโยบายขององค์กรที่นักเศรษฐศาสตร์สังกัดอยู่แต่อย่างใด
ร้อยละ 58.6 คิดว่าไม่ช่วยสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน ร้อยละ 38.6 คิดว่าช่วยสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันได้บ้าง แต่ไม่ยั่งยืน ร้อยละ 0.0 คิดว่าจะช่วยสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน ร้อยละ 2.8 ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ 2. ความคิดเห็นต่อ โครงการประชานิยมจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจได้หรือไม่ ร้อยละ 47.1 คิดว่าไม่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ร้อยละ 50.0 คิดว่าช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจได้บ้าง แต่ไม่ยั่งยืน ร้อยละ 0.0 คิดว่าจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ร้อยละ 2.9 ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ 3. ความเห็นต่อ โครงการประชานิยมจะนำไปสู่การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจที่สมดุลมีความเข้มแข็งของเศรษฐกิจในประเทศ (Domestic Demand) มากขึ้นได้หรือไม่ ร้อยละ 40.0 คิดว่าไม่ช่วยทำให้เศรษฐกิจภายในประเทศมีความเข้มแข็งขึ้น ร้อยละ 52.9 คิดว่าช่วยทำให้เศรษฐกิจภายในประเทศมีความเข้มแข็งขึ้นได้บ้าง แต่ไม่ยั่งยืน ร้อยละ 1.4 คิดว่าจะช่วยทำให้เศรษฐกิจภายในประเทศมีความเข้มแข็งขึ้นอย่างยั่งยืน ร้อยละ 5.7 ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ 4. ความคิดเห็นที่มีต่อ โครงการประชานิยมที่มีการแทรกแซงกลไกราคาผ่านโครงการรับจำนำสินค้าเกษตรต่างๆ ของรัฐบาลจะก่อให้เกิดปัญหาที่สำคัญอย่างไรบ้างโดยเฉพาะในระยะยาว (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) ร้อยละ 77.1 เป็นช่องทางให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่น การโก่งราคาเกษตรกร ร้อยละ 68.6 รัฐบาลจะไม่สามารถกำหนดราคาขาย(ในตลาดโลกได้) เนื่องจากสินค้าเกษตรจะเก็บไว้นานไม่ได้
และจะขาดทุนจากการดำเนินโครงการ
ร้อยละ 65.7 เป็นการส่งสัญญาณที่ผิดพลาด ราคารับจำนำที่สูงจะทำให้เกษตรกรขยายการเพาะปลูกที่เพิ่มขึ้น ร้อยละ 60.0 ประสิทธิภาพการผลิตที่จะลดลง ร้อยละ 54.3 ประชาชนได้ประโยชน์น้อยกว่าที่ควรจะเป็น และประโยชน์ตกอยู่กับกลุ่มอื่น เช่น ผู้ส่งออก โรงสี เป็นต้น ร้อยละ 34.3 ข้อจำกัดของพื้นที่เก็บรักษาสินค้าเกษตร ร้อยละ 22.9 การดำเนินนโยบายที่ขาดความร่วมมือกับประเทศอื่นๆ จะทำให้ประเทศอื่นได้ประโยชน์ ร้อยละ 10.0 อื่นๆ คือ ไม่ได้แก้ปัญหาสินค้าเกษตรอย่างยั่งยืน กล่าวคือ ไม่ช่วยแก้ทั้งปัญหาความยากจนของเกษตรกรและการเพิ่มผล
ผลิตต่อไร่ นอกจากนี้ การบิดเบือนกลไกตลาดจะยิ่งทำให้เกษตรกรอ่อนแอ ประเทศสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน
ซึ่งจะเป็นปัญหาในระยะยาวโดยเฉพาะการเปิดเสรีอาเซียนที่กำลังจะมาถึง
ร้อยละ 5.7 ผลได้สุทธิจากนโยบายประชานิยม มากกว่า งบประมาณที่ใช้ไป ร้อยละ 77.1 ผลได้สุทธิจากนโยบายประชานิยม น้อยกว่า งบประมาณที่ใช้ไป ร้อยละ 17.2 ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ 6. ความคิดเห็นในประเด็น ปัจจุบันนี้คนไทยเสพติดนโยบายประชานิยมหรือไม่ ร้อยละ 0.0 เชื่อว่าประชาชนยังไม่เสพติดโครงการประชานิยม ร้อยละ 47.1 เชื่อว่าประชาชนเริ่มเสพติดโครงการประชานิยม ร้อยละ 48.6 เชื่อว่าประชาชนเสพติดโครงการประชานิยมแล้ว ร้อยละ 4.3 ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ 7. ความคิดเห็นที่มีต่อนโยบายประชานิยมของรัฐบาลว่าโครงการใดถือเป็นโครงการประชานิยมที่ดีหรือไม่ดี โครงการประชานิยม คิดว่าเป็นโครงการประชานิยม ที่ดี ที่ดีแต่วิธี ที่ไม่ดี ไม่ตอบ/ ไม่ถูกต้อง ไม่ทราบ 1) ชะลอการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิง บางประเภทชั่วคราวเพื่อให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงลดลงทันที 14.3 37.1 42.9 5.7 2) บัตรเครดิตพลังงานสำหรับผู้ประกอบการอาชีพรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะ 20.0 17.1 51.4 11.5 3) โครงการพักหนี้ครัวเรือนของเกษตรกรรายย่อยและผู้มีรายได้น้อย 27.1 40.0 30.0 2.9 4) การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน 21.4 50.0 25.7 2.9 5) จบปริญญาตรี เงินเดือนเริ่มต้น 15,000 บาท 25.7 45.7 24.3 4.3 6) โครงการเบี้ยยังชีพคนชราแบบขั้นบันได 80.0 7.1 4.3 8.6 7) โครงการบ้านหลังแรก(คืนภาษี-เพิ่มค่าลดหย่อน) 47.1 31.4 15.7 5.8 8) โครงการรถยนต์คันแรก (คืนภาษีสรรพสามิต) 21.4 18.6 58.6 1.4 9) เพิ่มเงินทุนกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองอีกแห่งละ 1 ล้านบาท 15.7 40.0 40.0 4.3 10) กองทุนพัฒนาบทบาทสตรีวงเงินจังหวัดละ 100 ล้านบาท 15.7 32.9 37.1 14.3 11) กองทุนพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (SML) ตามแนวปรัชญา- เศรษฐกิจพอเพียงเป็นจำนวนเงิน 3-5 แสนบาทต่อหมู่บ้าน 34.3 40.0 17.1 8.6 12) โครงการรับจำนำข้าวเปลือกเจ้าเกวียนละ 15,000 บาท และ ข้าวหอมมะลิเกวียนละ 20,000 บาท 5.7 25.7 65.7 2.9 13) โครงการบัตรเครดิตเกษตรกรเพื่อซื้อปัจจัยการผลิต 25.7 24.3 45.7 4.3 14) โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคได้จริง 71.4 24.3 2.9 1.4 15) โครงการแจกแท็บเลต พีซี ให้เด็กนักเรียนชั้น ป.1 12.9 17.1 65.7 4.3 16) โครงการอินเทอร์เน็ตฟรีในที่สาธารณะ โรงเรียน สถาบันการศึกษา 78.6 14.3 4.3 2.8 หมายเหตุ: เป็นนโยบายหรือโครงการที่รัฐบาลได้แถลงต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2554 และคัดเลือกโดยกรุงเทพโพลล์
รายละเอียดในการสำรวจ
1. เพื่อเป็นข้อมูลให้กับรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการนำข้อมูลผลสำรวจมาใช้ประกอบการทำนโยบาย
2. เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ โดยเฉพาะนโยบายประชานิยมที่มีความเกี่ยวข้องกับประชาชนโดยตรง
3. เพื่อสะท้อนความเห็นในประเด็นด้านเศรษฐกิจจากผู้ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจโดยตรงไปยังสาธารณชนโดยผ่านช่องทางสื่อมวลชน
เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่สำเร็จการศึกษาทั้งระดับปริญญาตรีและปริญญาโทในสาขาเศรษฐศาสตร์ (กรณีสำเร็จการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์เฉพาะปริญญาตรี หรือปริญญาโท หรือปริญญาเอก อย่างใดอย่างหนึ่ง จะต้องมีประสบการณ์ในการทำงานด้านวิเคราะห์/วิจัย/หรืองานที่เกี่ยวข้องที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถด้านเศรษฐศาสตร์อย่างน้อย 5 ปีจนถึงปัจจุบัน) ที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานด้านการวิเคราะห์ วิจัยเศรษฐกิจระดับชั้นนำของประเทศ จำนวน 27 แห่ง ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มูลนิธิสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกรุงไทย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย ธนาคารทหารไทย ธนาคารธนชาต บริษัทหลักทรัพย์พัฒนสิน บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคิน บริษัทหลักทรัพย์ภัทร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกรุงไทย คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยทักษิณ สำนักวิชาการจัดการมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ คณะวิทยาการจัดการมหาวิทยาลัยขอนแก่น คณะวิทยาการจัดการและสารสนเทศศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร สำนักวิชาเศรษฐศาสตร์และนโยบายสาธารณะมหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยรามคำแหง และคณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
รวบรวมข้อมูลโดยการส่งแบบสอบถามออนไลน์ไปยังนักเศรษฐศาสตร์ในหน่วยงานที่กำหนดภายในระยะเวลาที่กำหนด
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล : 21-28 สิงหาคม 2555 วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ : 29 สิงหาคม 2555
ข้อมูลรายละเอียดของกลุ่มตัวอย่าง
จำนวน ร้อยละ ประเภทของหน่วยงานที่กลุ่มตัวอย่างทำงานอยู่ หน่วยงานภาครัฐ 33 47.2 หน่วยงานภาคเอกชน 22 31.4 สถาบันการศึกษา 15 21.4 รวม 70 100.0 เพศ ชาย 35 50.0 หญิง 35 50.0 รวม 70 100.0 อายุ 26 ปี — 35 ปี 23 32.9 36 ปี — 45 ปี 22 31.4 46 ปีขึ้นไป 25 35.7 รวม 70 100.0 การศึกษา ปริญญาตรี 4 5.7 ปริญญาโท 49 70.0 ปริญญาเอก 17 24.3 รวม 70 100.0 ประสบการณ์ทำงานรวม 1-5 ปี 10 14.3 6-10 ปี 17 24.3 11-15 ปี 10 14.3 16-20 ปี 9 12.9 ตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป 24 34.2 รวม 70 100.0
--ศูนย์วิจัยกรุงเทพโพลล์--