กรุงเทพโพลล์: คาดการณ์เศรษฐกิจปี 2556

ข่าวผลสำรวจ Friday November 16, 2012 09:16 —กรุงเทพโพลล์

นักเศรษฐศาสตร์คาดเศรษฐกิจไทยปี 56 โต 4.6% การส่งออกจะขยายตัว 6.8% เงินเฟ้อจะอยู่ที่ 3.4% อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะลดไปอยู่ที่ 2.50% ค่าเงินบาทจะอยู่ที่ 30.68 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ พร้อมชี้เศรษฐกิจโลกยังเป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับ 1

ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์จากองค์กรชั้นนำ 35 แห่ง จำนวน 73 คน เรื่อง “คาดการณ์เศรษฐกิจปี 2556” โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 6 — 13 พ.ย. ที่ผ่านมา พบว่า

นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวร้อยละ 3.3 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวร้อยละ 4.6 ราคาน้ำมันดิบ(WTI) จะอยู่ที่ 99.8 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ร้อยละ 3.4

ในส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบายนักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 31.5 เชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากระดับปัจจุบันที่ร้อยละ 2.75 ไปสู่ระดับร้อยละ 2.50 ภายในสิ้นปี 2556 ส่วนค่าเงินบาทคาดว่าจะอยู่ที่ 30.68 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และการส่งออกจะขยายตัวร้อยละ 6.8 ด้านการเคลื่อนไหวของ ค่าเฉลี่ยของ SET Index นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 45.2 คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นจากปี 2555 และโดยจุดสูงสุดของปี 2556 จะอยู่ที่ 1,400 จุด

ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยปี 2556 คือ อันดับ 1 คือ เศรษฐกิจโลกในภาพรวม (ร้อยละ 79.5) อันดับ 2 หนี้สาธารณะของประเทศสหรัฐอเมริกา และ กลุ่มยูโรโซน (ร้อยละ 69.9)อันดับ 3 ปัญหาการเมือง/การชุมนุมประท้วง/เสถียรภาพของรัฐบาล(ร้อยละ 64.4)

สำหรับข้อเสนอต่อรัฐบาล/หน่วยงานด้านเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้อง ในการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจปี 2556 คือ

1. ลดการดำเนินนโยบายประชานิยม ลดการแทรกแซงราคาสินค้าเกษตรโดยเฉพาะโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งจะช่วยลดปัญหาหนี้สาธารณะที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต และช่วยให้มีความยืดหยุ่นในการดำเนินนโยบายการคลังมากขึ้น

2. เน้นลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานในโครงการต่างๆ รวมถึงโครงการที่มีความเกี่ยวเนื่องกับ AEC มีการเบิกจ่ายเงินที่เป็นไปตาม พรก.บริหารจัดการน้ำ มีการพัฒนาการศึกษา สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศ

3. มีการดำเนินนโยบายการเงินการคลังที่สอดประสานกัน โดยเห็นว่าควรดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายและดำเนินนโยบายการคลังแบบขยายตัว ควรมีมาตรการควบคุมฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงควรมีแผนสำรองเพื่อรองรับวิกฤติ (shock) ที่อาจจะเกิดขึ้นจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก

(โปรดพิจารณารายละเอียดของผลสำรวจดังต่อไปนี้)

1. คาดการณ์ การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกปี 2556 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2555
จะขยายตัวร้อยละ 5.1-6.0                      ร้อยละ          1.4
จะขยายตัวร้อยละ 4.1-5.0                      ร้อยละ          1.4
จะขยายตัวร้อยละ 3.1-4.0                      ร้อยละ          64.4
จะขยายตัวร้อยละ 2.1-3.0                      ร้อยละ          30.2
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ                        ร้อยละ          2.6

ค่าเฉลี่ยของการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกเท่ากับ ร้อยละ 3.3

2. คาดการณ์ การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปี 2556 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2555
จะขยายตัวร้อยละ 6.1-7.0                      ร้อยละ           2.7
จะขยายตัวร้อยละ 5.1-6.0                      ร้อยละ          13.7
จะขยายตัวร้อยละ 4.1-5.0                      ร้อยละ          67.1
จะขยายตัวร้อยละ 3.1-4.0                      ร้อยละ          11.0
จะขยายตัวร้อยละ 2.1-3.0                      ร้อยละ           4.1
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ                        ร้อยละ           1.4

ค่าเฉลี่ยของการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยเท่ากับ ร้อยละ 4.6

3. คาดการณ์ ราคาน้ำมันดิบ WTI เฉลี่ยในปี 2556
อยู่ในช่วง 121-130  ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลโดยเฉลี่ย          ร้อยละ  2.7
อยู่ในช่วง 111-120  ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลโดยเฉลี่ย          ร้อยละ  5.5
อยู่ในช่วง 101-110  ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลโดยเฉลี่ย          ร้อยละ 35.6
อยู่ในช่วง 91-100  ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลโดยเฉลี่ย           ร้อยละ 39.7
อยู่ในช่วง 81-90  ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลโดยเฉลี่ย            ร้อยละ 11.0
อยู่ในช่วง 71-80  ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลโดยเฉลี่ย            ร้อยละ  1.4
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ                                 ร้อยละ  4.1

ค่าเฉลี่ยของราคาน้ำมันดิบ WTI เท่ากับ 99.8 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

4. คาดการณ์ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยปี 2556
อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในช่วงร้อยละ 4.1-5.0          ร้อยละ           5.5
อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในช่วงร้อยละ 3.1-4.0          ร้อยละ          69.9
อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในช่วงร้อยละ 2.1-3.0          ร้อยละ          20.5
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ                       ร้อยละ           4.1

ค่าเฉลี่ยของอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเท่ากับร้อยละ 3.4

5. คาดการณ์ อัตราดอกเบี้ยนโยบายปี 2556
ธปท. จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากระดับปัจจุบันที่ร้อยละ 2.75 ไปสู่ระดับร้อยละ 3.25 ภายในปี 2556 ร้อยละ 12.3
ธปท. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับปัจจุบันที่ร้อยละ 2.75  ตลอดปี  2556                         ร้อยละ  26.0
ธปท. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากระดับปัจจุบันที่ร้อยละ 2.75   ไปสู่ระดับร้อยละ 2.50  ภายในปี 2556  ร้อยละ  31.5
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ                                                                   ร้อยละ  30.2
หมายเหตุ: อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่คาดการณ์เป็นค่ากลาง

6.  คาดการณ์  การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทโดยเฉลี่ย ในปี 2556
ค่าเงินบาทจะอยู่ระหว่าง 32.1- 33.0  บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ          ร้อยละ 5.5
ค่าเงินบาทจะอยู่ระหว่าง 31.1- 32.0  บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ          ร้อยละ 21.9
ค่าเงินบาทจะอยู่ระหว่าง 30.1- 31.0  บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ          ร้อยละ 47.9
ค่าเงินบาทจะอยู่ระหว่าง 29.1- 30.0  บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ          ร้อยละ 15.1
ค่าเงินบาทจะอยู่ระหว่าง 28.1- 29.0 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ           ร้อยละ 2.7
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ                                     ร้อยละ 6.9

ค่าเฉลี่ยของค่าเงินบาท เท่ากับ 30.68 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

7. คาดการณ์ การขยายตัวของ การส่งออกของไทยในปี 2556 เมื่อเทียบกับปี 2555 (ในรูปของเงินบาท)
ขยายตัวอยู่ระหว่างร้อยละ 16-20          ร้อยละ 2.7
ขยายตัวอยู่ระหว่างร้อยละ 11-15          ร้อยละ 9.6
ขยายตัวอยู่ระหว่างร้อยละ 6-10           ร้อยละ 43.8
ขยายตัวอยู่ระหว่างร้อยละ 1-5            ร้อยละ 35.6
ขยายตัวอยู่ร้อยละ 0                    ร้อยละ 1.4
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ                ร้อยละ 6.9

ค่าเฉลี่ยของการขยายตัวการส่งออกเท่ากับ ร้อยละ 6.8

8. คาดการณ์ ค่าเฉลี่ยของดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ในปี 2556
ค่าเฉลี่ยของ SET Index จะปรับเพิ่มขึ้นจากปี 2555 และคาดว่าจุดสูงสุดของปี 2556 จะอยู่ที่ 1,400 จุด ร้อยละ 45.2
ค่าเฉลี่ยของ SET Index จะปรับลดลงจากปี 2555 และ คาดว่าจุดต่ำสุดของปี 2556 จะอยู่ที่ 1,050 จุด ร้อยละ 8.2
ไม่ตอบ/ไม่มั่นใจ/ไม่ทราบ                                                                     ร้อยละ 46.6
หมายเหตุ: SET Index ที่คาดการณ์เป็นค่ากลาง

9. ปัจจัยใดจะส่งผลกระทบและฉุดรั้งเศรษฐกิจไทยปี 2556 มากที่สุด  (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ)
อันดับ 1          เศรษฐกิจโลกในภาพรวม                                               ร้อยละ  79.5
อันดับ 2          หนี้สาธารณะของประเทศสหรัฐอเมริกา กลุ่มยูโรโซน และญี่ปุ่น                    ร้อยละ  69.9
อันดับ 3          ปัญหาการเมือง/การชุมนุมประท้วง/เสถียรภาพของรัฐบาล                       ร้อยละ  64.4
อันดับ 4          ปัญหาภัยธรรมชาติ/ภัยพิบัติทางธรรมชาติ                                    ร้อยละ  37.0
อันดับ 5          ปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน                                                  ร้อยละ  32.9
อันดับ 6          การเปิดเสรีทางการค้า  ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มการค้าอาเซียน  ไทยจีน  เป็นต้น        ร้อยละ  19.2
อันดับ 7          ค่าเงินบาทที่คาดว่าจะแข็งค่าขึ้น                                          ร้อยละ  17.8
อื่นๆ เช่นการปรับขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำ  ความลาช้าในการเบิกจ่ายงบฯโครงการรัฐประมูล 3 จี
ไม่มีเสถียรภาพ และเอกภาพสำหรับโครงสร้างพื้นฐาน  การหมดอายุของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ใช้       ร้อยละ  8.2

10.  ข้อเสนอต่อรัฐบาล/หน่วยงานเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้อง  ในการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจปี 2556
(เป็นคำถามปลายเปิดให้นักเศรษฐศาสตร์ระบุเอง)

1. ลดการดำเนินนโยบายประชานิยม ลดการแทรกแซงราคาสินค้าเกษตรโดยเฉพาะโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งจะช่วยลดปัญหาหนี้สาธารณะที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต และช่วยให้มีความยืดหยุ่นในการดำเนินนโยบายการคลังมากขึ้น

2. เน้นลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานในโครงการต่างๆ รวมถึงโครงการที่มีความเกี่ยวเนื่องกับ AEC มีการเบิกจ่ายเงินที่เป็นไปตาม พรก.บริหารจัดการน้ำ มีการพัฒนาการศึกษา สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศ

3. มีการดำเนินนโยบายการเงินการคลังที่สอดประสานกัน โดยเห็นว่าควรดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายและดำเนินนโยบายการคลังแบบขยายตัว ควรมีมาตรการควบคุมฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงควรมีแผนสำรองเพื่อรองรับวิกฤติ (shock) ที่อาจจะเกิดขึ้นจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก

4. ควรมีการดูแลภาคส่งออกเป็นพิเศษเนื่องจากได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก พร้อมๆ กับการให้ความสำคัญกับตลาดในประเทศด้วยการกระตุ้นอุปสงค์ เพิ่มการกระจายรายได้ให้เป็นธรรมขึ้น รวมถึงการเตรียมแผนรองรับปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า เช่น ปัญหาจากการเพิ่มค่าแรง 300 บาททั่วประเทศ ปัญหาเงินเฟ้อ เป็นต้น

5. มีการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินของภาครัฐที่เข้มงวด เพื่อลดปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน

6. สร้างระบบเตือนภัยธรรมชาติ มีการให้ข้อมูลจริงโดยเฉพาะจากหน่วยงานภาครัฐ ให้ความสำคัญกับการจ้างงานและราคาสินค้ามากกว่าการให้ความสำคัญกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

หมายเหตุ: รายงานผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ฉบับนี้  เป็นการสำรวจความเห็นส่วนตัวของ
                  นักเศรษฐศาสตร์ซึ่งมิได้สื่อถึงแนวนโยบายขององค์กรที่นักเศรษฐศาสตร์สังกัดอยู่แต่อย่างใด

รายละเอียดในการสำรวจ

วัตถุประสงค์

1. เพื่อสะท้อนความเห็นในประเด็นด้านเศรษฐกิจจากผู้ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจโดยตรงไปยังสาธารณชนโดยผ่านช่องทางสื่อมวลชน

2. เพื่อเสนอแนะต่อรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเตรียมการและวางแผนงานเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศไทย

กลุ่มตัวอย่าง

เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่สำเร็จการศึกษาทั้งระดับปริญญาตรีและปริญญาโทในสาขาเศรษฐศาสตร์ (กรณีสำเร็จการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์เฉพาะปริญญาตรี หรือปริญญาโท หรือปริญญาเอก อย่างใดอย่างหนึ่ง จะต้องมีประสบการณ์ในการทำงานด้านวิเคราะห์/วิจัย/หรืองานที่เกี่ยวข้องที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถด้านเศรษฐศาสตร์อย่างน้อย 5 ปีจนถึงปัจจุบัน) ที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานด้านการวิเคราะห์ วิจัยเศรษฐกิจระดับชั้นนำของประเทศ จำนวน 35 แห่ง ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(TDRI) ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารธนชาต ธนาคารทหารไทย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย บริษัทหลักทรัพย์ภัทร บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ บริษัทหลักทรัพย์พัฒนสิน บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เกียรตินาคิน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ฟินันซ่า คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยทักษิณ สำนักวิชาการจัดการมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยแม่โจ้ คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คณะวิทยาการจัดการมหาวิทยาลัยขอนแก่น คณะวิทยาการจัดการและสารสนเทศศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยรามคำแหง สำนักวิชาเศรษฐศาสตร์และนโยบายสาธารณะมหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยกรุงเทพ

วิธีการรวบรวมข้อมูล

รวบรวมข้อมูลโดยการส่งแบบสอบถามออนไลน์ไปยังนักเศรษฐศาสตร์ในหน่วยงานที่กำหนดภายในระยะเวลาที่กำหนด

ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล            :  6-13  พฤศจิกายน  2555

วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ                :  19  พฤศจิกายน 2555

ข้อมูลรายละเอียดของกลุ่มตัวอย่าง

                                         จำนวน         ร้อยละ
ประเภทของหน่วยงานที่กลุ่มตัวอย่างทำงานอยู่
           หน่วยงานภาครัฐ                    33          45.2
           หน่วยงานภาคเอกชน                 22          30.1
           สถาบันการศึกษา                    18          24.7
          รวม                              73         100.0

เพศ
            ชาย                            38          52.1
            หญิง                            35          47.9
          รวม                              73         100.0

อายุ
            26 ปี — 35 ปี                    32          43.9
            36 ปี — 45 ปี                    19          26.0
            46 ปีขึ้นไป                       22          30.1
          รวม                              73         100.0

การศึกษา
             ปริญญาตรี                        2           2.7
             ปริญญาโท                       52          71.3
             ปริญญาเอก                      19          26.0
          รวม                              73         100.0

ประสบการณ์ทำงานรวม
              1-5  ปี                       12          16.4
              6-10 ปี                       23          31.6
              11-15 ปี                      12          16.4
              16-20 ปี                       5           6.8
              ตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป                21          28.8
          รวม                              73         100.0

--ศูนย์วิจัยกรุงเทพโพลล์--


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ